Tuesday, March 13, 2007

ไออุ่นลาวใต้ ตอน5

กรุงเทพ-อุบล

โดยส่วนตัวผมชอบที่จะเลือกการเดินทางเป็นเวลากลางคืนเสมอ เพราะผมมักทนไม่ได้ที่จะเห็นบรรยากาศตรงหน้าต่างเคลื่อนที่
มันพาลหลับทุกทีครับ...
ดังนั้นผมรู้ตัวเองว่าต้องหลับแน่นอน กลางคืนจึงเป็นเวลาที่หลับสบายที่สุด

ที่นั่งที่ผมนั่งเป็นที่นั่งริมหน้าต่างครับ เพราะผมรู้สึกว่าให้ความเป็นส่วนตัวกว่าที่นั่งริมทางเดิน ที่มักจะมีคนเดินไปเข้าห้องน้ำอยู่เสมอ
ซึ่งที่นั่งข้างๆผมนั้นเป็นลุงท่าทางใจดีคนหนึ่ง ผมจึงหวังว่าอาจจะได้ทักทายปราศัยกันบ้างถ้ามีโอกาส...

หลังจากรถเคลื่อนได้สักพักแล้วนั้น พนักงานต้อนรับก็กล่าวแนะนำตัวพร้อมกับพูดอะไรสักอย่าง
ผมฟังไม่รู้เรื่องครับ รู้แต่เพียงว่าการให้จังหวะในการพูดและน้ำเสียงนั้น เหมือนการสวดมนต์ดีแท้...
สวดมนต์เสร็จไม่นาน ก็จะเป็นการถวายภัตตาหารแก่ผู้โดยสาร ประกอบด้วย ข้าวกล่อง เครื่องดื่ม และ ขนม
ตอนแรกผมกะไว้ว่าจะเก็บทุกอย่างไว้ก่อนครับ เอาไว้หิวแล้วค่อยกิน แต่ว่า...
ผมพบว่ามันไม่มีที่จะเก็บข้าวกล่องได้ ถ้าไม่กินก็ต้องวางไว้บนตักเท่านั้น
ในขณะที่ผมเลือกที่จะกินข้าวอยู่นั้น หนังก็เริ่มฉายออกทางทีวี ดูเหมือนว่าจะเป็นหนังเกาหลีตามกระแสนิยม
ผมไม่ค่อยได้สนใจเท่าไรนัก เพราะที่นั่งของผมนั้นอยู่ค่อนข้างหลัง ทำให้ไม่ค่อยได้ยินเสียงจากทีวีเท่าไหร่
อีกอย่าง... กินข้าวเสร็จผมคงทนพิษบาดแผลจากวิวตรงหน้าต่างไม่ไหว คงจะม่อยหลับไปตามระเบียบ

กินทุกอย่างเรียบร้อย ผมก็เริ่มที่จะมองวิวข้างๆ พร้อมกับอาการต่อเนื่องของหนังตาที่เริ่มหย่อนลงมาปิดเรื่อยๆ
ทันใดนั้น... ผมก็ต้องตกใจกับเสียงดังที่เกิดขึ้น
มันเป็นเสียงกรนครับ... ซึ่งเจ้าของเสียงไม่ใช่ใครครับ ลุงข้างๆผมเอง
เสียงกรนลุงดังมากจนคนที่นั่งแถวหน้าๆ ต้องหันมาหาแหล่งกำเนิดเสียง
ไม่ต้องพูดถึงที่นั่งผม ซึ่งถ้าว่ากันตามหลักการจัดตำแหน่งเมือง ถือได้ว่าเป็นหัวเมืองหน้าด่านเลยทีเดียว

คงจะเป็นเพราะบุปเพสันนิวาสหรืออย่างไรมิอาจทราบได้ ทำให้ผมได้มาใกล้ชิดลุง
ฟังลุงโอพาปราศัยกับผมอย่างจริงใจและหนักแน่นเช่นนี้... T_T

ด้วยความดังของเสียงลุง ทำให้ผมเริ่มที่จะดิ้นรนหาจุดดึงจิตใจจากเสียงกรน
เพราะผมรู้สึกว่าบรรยากาศตรงหน้าต่างไม่สามารถหักล้างกับมิตรภาพที่ลุงยื่นให้ผมได้เสียแล้ว
ผมจึงไปอาศัยหนังเกาหลีที่กำลังฉายอยู่แทน ซึ่งเป็นอย่างเดียวที่หาได้ในขณะนั้น...
ด้วยความเข้าใจว่าคงจะมีเนื้อเรื่องแบบ full house หรือ my sassy girl อะไรประมาณนั้น ซึ่งคงจะเพลินพอสมควร
5 นาทีผ่านไป...
เอ๊ะ... ทำไมนางเอกมันถือมีด ทำตาดุๆ
อ๊ะ... มีผู้หญิงตายหนึ่งคน โดยการฆ่าของนางเอก อย่างโหดร้าย
โอ๊ะ...ตายอีกหนึ่งคนแล้ว!!! นี่มันหนังฆาตกรรมโรคจิตนี่หว่า...
แจ๊คพอตครับ คือในแบบหนังทุกประเภท หนังแนวฆาตกรรมโรคจิตนี่เป็นแนวที่ผมกลัวที่จะดูที่สุด ดูแล้วมันชวนอ้วกจริงๆ
หมดที่พึ่ง... T_T

ผมเริ่มเข้าสู่สภาวะจนตรอก เนื่องจากกลัวว่าถ้าผมจะต้องลืมตารับคำทักทายลุงทั้งคืน ผมคงไม่มีแรงเที่ยวในวันถัดไปแน่ๆ
ผมเริ่มที่จะใช้วิธีนับแกะ นับดาวไปเรื่อยเปื่อย
ไม่สำเร็จครับ...นับไปสักพักใหญ่ก็ยังไม่สามารถทนทานมิตรภาพที่ลุงมอบให้ได้
จึงต้องยอมจำนน นั่งเตรียมพร้อมหลับ รอลุงขยับเปลี่ยนท่านอน โดยหวังว่าเสียงจะขาดช่วงชั่วคราว
และอาศัยจังหว่ะนั้น เข้าเฝ้าเง็กเซียนให้ได้
ผมจำไม่ได้ครับว่ารอนานเท่าใด รู้เพียงแค่ว่าผมเข้าเฝ้าเง็กเซียนได้สำเร็จ

สุดท้าย...ผมก็ได้ทักทายลุงดังหวัง แต่ต่อหน้าเง็กเซียนเท่านั้นเอง :-)










ดวง
20070313 11:43

3 comments:

ikke said...

หลุดจากกรุงเทพฯได้เสียที การไปคนเดียวก็เหมือนการซื้อล็อตเตอร์รี่เนอะ ถ้าโชคดีถูกรางวัลที่หนึ่งอาจจะได้นั่งใกล้สาวโสด น่ารัก สดใส ชอบการเดินทางเหมือนกัน และจะโชคดีเบิ้ลเข้าไปอีกถ้าเกิดแทงหวยทิ้งไว้ถูกทั้งสามตัวบน, สองตัวบน, สองตัวล่าง แถมโต๊ดอีกก็จะได้สาวเจ้าเป็นแฟน แต่ถ้าโชคร้ายซื้อล็อตเตอร์รี่ถูกแต่ดันทำหาย อันนี้ก็จะได้คุณลุงมาอยู่เป็นคู่ชีวิต

Odysseus said...

เสน่ห์ของการเดินทางคนเดียวมันอยู่ตรงนี้แหล่ะครับ
เมื่อเราไม่มีเพื่อนร่วมทางไปด้วย
มันช่วยให้เราสามารถที่จะเปิดใจสังเกตหรือจดจำผู้คน สิ่งต่างๆรอบข้างได้เต็มที่
ไม่ว่าสิ่งนั้นจะเป็นอย่างไร ดีหรือร้าย
เมื่อเราเผชิญและผ่านมันไป
จนถึงวันที่เราได้หวนนึกถึงมันอีกครั้ง รอยยิ้มและความอิ่มเอมใจจะปรากฏ :-)

Anonymous said...

เห็นด้วย ๆ ..
ได้เพื่อนใหม่ด้วย ..

ลุงได้ใจมาก ๆ


 
Creative Commons License
This work is licensed under a Creative Commons Attribution-Noncommercial 3.0 Thailand License.