Sunday, November 11, 2007

ไออุ่นลาวใต้ ตอน 12

อุบล#7

ในเช้าที่อากาศสดใสแต่ใจหมองหม่น....
พูดอย่างไม่อายเลย แม้ว่าผมจะรู้สึกสบายใจและเป็นอิสระเพียงใด แต่การที่จะต้องเดินทางคนเดียวไปลาวที่ไม่เคยไปมาก่อนก็ทำให้ใจวิตกอยู่ไม่น้อย และยังไม่ทันเข้าลาวก็ไม่วายต้องปรับแผนอีกนิดนึงจนได้ แต่เดิมผมตั้งใจจะข้ามไปลาวด้วยรถโดยสารที่มีให้บริการอยู่ที่ขนส่งจังหวัดในรอบเจ็ดโมง แต่ ณ เวลาเจ็ดโมงที่รถออกนั้นปรากฏว่าผมก็ยังหลับไหลไม่ได้สติอยู่นั่นเอง มองไปที่สาเหตุที่ทำให้นอนตื่นสายก็เห็นแต่ความเพลิดเพลินในการเดินงานกาชาดของจังหวัดจนไม่ได้สนใจเวลา เหนื่อยกลับมาอาบน้ำนอนโดยไม่บอกราตรีสวัสดิ์เจ้าของห้องดังที่ตั้งใจไว้ตั้งแต่ตอนแรกเพราะมันยังไม่กลับ แม้จะพยายามฝืนแล้วก็ทนไม่ไหวหลับคาที่นอนมันไปทั้งอย่างนั้น ตื่นเช้ามาเราอยู่บนที่นอนดำ ส่วนดำนอนบนที่นอนที่เตรียมมาให้ (ขอโทษนะดำนะ ^^'')...

เก้าโมงครึ่งก็เก้าโมงครึ่ง ผมพูดกับตัวเองปลอบใจที่คลาดรถเที่ยวแรกไปนิดเดียว.... เอ่อหมายถึงเวลาตื่นครับที่คลาดกันไปนิดเดียว แต่คงไม่เป็นไรเพราะผมตั้งใจจะนอนปากเซคืนหนึ่งอยู่แล้ว เพื่อเก็บข้อมูลเพิ่มเติมและเดินเล่นไปเรื่อยๆในเมืองก่อนเดินทางลงใต้ไปพักที่ดอนเดช ซึ่งอย่างน้อยก็คงทำให้มีเวลาอยู่ที่นุ่นน้อยลงและข้อมูลที่ได้ก็อาจน้อยลงตามไปด้วย แต่ไม่เป็นไรยังไงก็ไปว่าเอาข้างหน้า

โดยส่วนใหญ่ข้อมูลที่ผมหามานั้น นักท่องเที่ยวจะนิยมต่อรถจากปากเซไปดอนเดชในวันนั้นเลย ซึ่งโดยส่วนตัวผมก็ไม่รู้ว่าทำไมถึงทำกันอย่างนั้น ถ้าเป็นไปได้การละเมียดค่อยเป็นค่อยไปกับการเดินทางน่าจะทำให้เรารู้สึกเพลิดเพลินกว่า ไหนๆเราก็ปลีกตัวจากภาระ จากเวลาเข้างาน เลิกงานแล้ว ใยจะต้องเร่งชีวิตให้มันรีบร้อนรนกับการเที่ยวอีก

จากประสบการณ์ หลายครั้งที่ตัวผมเองจะต้องไปเที่ยวแบบ Fast Travel (คล้ายๆกับ Fast Food หน่ะครับ) กับเพื่อนๆ นอกจากจะไม่รู้สึกผ่อนคลายแล้ว เรายังโหมใช้งานร่างกายตัวเองหนักซะจนกลับมาก็แทบไม่มีแรงทำงานต่อ คิดไปคิดมาก็ไม่เข้าใจว่าจะต้องไปทรมานตัวเองกันขนาดนั้น จริงอยู่โดยส่วนตัวผมพิสมัยการท่องเที่ยวที่ต้องลุยหน่อย แต่ถ้าจะให้ต้องเดินก้มหน้างุดๆ เร่งฝีเท้าให้ทันเกับเวลาเพื่อที่จะได้ดูจุดชมวิวหรือน้ำตกหรืออะไรก็แล้วแต่ แล้วยังไม่ได้ทันสัมผัสให้สบายใจก็ต้องเปลี่ยนอริยบทมาเป็นเดินก้มหน้างุดๆเพื่อไปยังจุดต่อไปให้ทัน.... มันทำให้ผมคิดว่า เอ๊ะนี่เรากำลังแข่งแรลลี่ และหา RC อยู่หรือเปล่า?? เรามาเที่ยวไม่ใช่เหรอ!!??



โดยปกตินั้นผมไม่ค่อยได้มีโอกาสกินกาแฟตอนเช้าก่อนเริ่มทำงานเลย คงจะด้วยสาเหตุเดียวคือแค่ลำพังไปทำงานให้ทันเวลาก็ยากเต็มที เวลาที่จะมานั่งจิบกาแฟอย่างละเมียดละไมนั้นจึงเป็นไปไม่ได้ แต่ในวันนี้การได้นั่งจิบกาแฟยามเช้า ดูข่าวตอนเช้า พร้อมกับมีเพื่อนสนิทคุยด้วยกันนั้น ก็เป็นความสุขใจที่ทำให้กาแฟแก้วนี้มีรสชาติดีขึ้นเยอะเลยทีเดียว

ดำจะต้องไปทำงานก่อนเวลาที่รถทัวร์จะออกพอสมควร ผมจึงเห็นว่าไม่ควรจะต้องให้ดำลำบากขับรถไปส่งที่ท่ารถ ส่วนเรื่องหารถที่จะพาผมไปที่ท่ารถนั้น ก็ไม่เป็นปัญหาสำหรับผมสักเท่าใดนักเพราะเมื่อวานก็นั่งสองแถววนไปวนมาในตัวเมืองจะพอจะคุ้นทาง คุ้นสายรถดีพอสมควร ผมจึงเลือกที่จะเดินมาส่งดำขึ้นรถไปทำงาน แล้วก็แวะเดินเล่นหาอาหารเช้ากิน

ก่อนออกจากหอดำผมตรวจดูสิ่งของที่สำคัญๆเป็นครั้งสุดท้าย โดยเฉพาะพาสปอร์ตและเงิน พร้อมๆกับหาที่ๆเหมาะสมและปลอดภัยที่สุดให้เจ้าสองสิ่งนี้อยู่ เพราะเมื่อใดที่เราทำมันหายไปตอนอยู่ที่นุ่น..... ไม่อยากจะคาดเดาถึงผลที่จะเกิดขึ้นเลย ซึ่งเมื่อทุกอย่างเรียบร้อยก็ได้เวลาออกเดินทางข้ามประเทศสักที (เข้าใจว่ารอกันมานานแล้ว ^^)

ค่าเดินทางจากขนส่งอุบลไปปากเซนั้นอยู่ที่ 200 บาทครับ โดยเวลาซื้อนั้นต้องแสดงพาสปอร์ตหรือหนังสือผ่านทางให้พนักงานขายตั๋วดูครับเพื่อยืนยันว่าเราสามารถข้ามประเทศได้

เสียงเครื่องยนต์ดัง ล้อเริ่มหมุนเพื่อย้ายกล่องเหล็กสี่เหลี่ยมที่บรรทุกชีวิตไปในทางที่เขาเลือกเดิน บางชีวิตเป็นการจากลา บางชีวิตเป็นการกลับไปพบหน้าค่าตาคนอันเป็นที่รัก บางชีวิตอุดมไปด้วยความฝันความหวังต่อสิ่งที่จะเจอข้างหน้า และบางชีวิตยังคงวิตกกังวลต่อสิ่งที่อาจจะเกิดขึ้น... (เอ่อ... ผมเอง -__-'')


ดวง
20071111 21:49

Saturday, October 20, 2007

มหกรรมขาดสติแห่งชาติ

งานมหกรรมหนังสือหรือ งานมหกรรมขาดสติแห่งชาติของผมนั้นได้วนมาบรรจบครบอีกวาระหนึ่ง...
ปีนี้ซื้อเพลินมาก เพลินเกินไปหรือเปล่า? นั่งดูหนังสือที่ตัวเองซื้อมาแล้วก็ตกใจ
ดีนะที่ปีนี้เดินคุ้ยได้หนังสือเก่าๆ ดีๆ ราคาถูกๆ มาหลายเล่มประหยัดไปได้โข
บางคนบอกว่าซื้ออะไรมา ไม่มีใครเขาอ่านกันเพลินๆหรอก หนังสือเครียดๆอย่างนี้
มานั่งคิดแล้วก็คิดไม่ออก มันเครียดตรงใหน? เพลินดีออก...

ส่วนที่ชอบของงานนี้เห็นจะเป็นการเจอโดราเอมอนภาคภาษาลาว เจ๋งมาก!!! จำไม่ได้ว่าบูทใหน ยืนอ่านแบบอ่านออกมั่งไม่ออกมั่งแต่เพลินดี มีช่วงหนึ่งโนบิตะไปทำเรื่องวุ่นข้างนอกมา พอเข้าบ้านเจอแม่ แม่ถามว่า เฮ็ดอิหยัง? โนบิตะก็ตอบว่า บ่ๆ :-)
อ่านแล้วก็อยากไปลาวอีก ^^ เล่มละหกสิบบาท ไม่ได้ซื้อกลับมา กำลังลังเลว่าไปซื้อที่ลาวเองเลยดีไหม??
อีกบูทนึงที่ชอบคือบูทของคุณอเนก นาวิกมูล เจ้าของบ้านพิพิทธภัณฑ์ มีสมุด โปสการ์ด ลายสินค้าสมัยเก่าๆมาวางขาย ชอบมาก บางอันเห็นแล้วระลึกถึงความหลังวัยเด็กดี

ครั้งนี้หลายๆสำนักพิมพ์ย้ายที่กันนะครับ เช่น open และ a day ย้ายเข้าแพลนารีฮอลล์ สารคดีเขยื้อนนิดหน่อยและ เล็กลงกว่าเดิม Bliss ก็ย้ายแต่ยังอยู่ในแพลนารีฮอลล์ มติชน ซีเอ็ด อมรินทร์ เนชั่น ผู้จัดการ สุขภาพใจ สามัญชน โซนร้านหนังสือเก่า โซนหนังสือเด็ก โซนหนังสือเตรียมสอบ ยังปักหลักอยู่ที่เดิมครับ

รู้สึกว่าคนเดินน้อยลง ซื้อกันน้อยลง (เทียบจากงานตอนต้นปีในวันธรรมดา)น่าจะบ่งบอกสภาพเศรษฐกิจปัจจุบันได้บ้าง...
น้ำมันแพงขึ้นเรื่อยๆ ผลกระทบเริ่มมีให้เห็นกันบ้างแล้ว จากค่ารถเมล์ รถโดยสาร
ใกล้ตัวเข้ามาหน่อยขนมปังบ้านผมก็ปรับขึ้นราคาแล้วหล่ะ แม่บอกต้นทุนของแพงขึ้นมาก อั้นไม่ไหวแล้ว ยังผลให้ป๊าและลูกๆงงเวลาคิดราคาให้ลูกค้า คิดช้าลงเพราะราคาเปลี่ยน แต่เท่าที่ดูก็ขายเกือบหมดเหมือนเดิมแฮะ อาจเพราะว่าเป็นของกินและระคาก็ขึ้นไม่เยอะแค่ 50 สต ถึง 1 บาท ...

รายชื่อหนังสือผมลงไว้เหมือนเดิมนะครับ สนใจเล่มใหนก็ยืมได้นะ ไม่ต้องห่วงว่าผมยังไม่ได้อ่านหรือเปล่า...
ถ้าอยากอ่านยืมไปอ่านเถอะครับ มารอผมอ่านก่อน ความอยากรู้เหี่ยวพอดี จริงไหม?

1.)จีนในกระแสโลกาภิวัตน์ (China and globalization),วรศักดิ์ มหัทธโนบล,สำนักพิมพ์โอเพ่น
2.)ไปตามเส้นทางของเรา,วรพจน์ พันธุ์พงศ์,สำนักพิมพ์โอเพ่น
3.)ส่องคลื่นโลกาภิวัฒน์(The world is round),สฤนี อาชวานันทกุล,สำนักพิมพ์โอเพ่น
4.)The Chemistry of Movie,ภิญโญ ไตรสุริยธรรมา บรรณาธิการ,สำนักพิมพ์โอเพ่น
5.)20 ปี ปาฐกถาพิเศษ ป๋วย อึ๊งภากรณ์,สำนักพิมพ์โอเพ่น
6.)ฟองสบู่เข้าตาเทวดาตกสวรรค์,ไกรศักดิ์ ชุณหะวันและวรศักดิ์ มหัทธโนบล,สำนักพิมพ์โอเพ่น
7.)เห็นถั่วงอกเป็นดอกบัว,พิชญ์ พงษ์สวัสดิ์,สำนักพิมพ์โอเพ่น
8.)Open house4,ปราบดา หยุ่น บรรณาธิการ,สำนักพิมพ์โอเพ่น
9.)มือที่สามในประวัติศาสตร์การเมืองไทย,อรรถจักร์ สัตยานุรักษ์,โครงการจัดพิมพ์คบไฟ
10.)กบฏสันติภาพ,วิวัฒน์ คติธรรมนิตย์,โครงการจัดพิมพ์คบไฟ
11.)เศรษฐกิจไทยหลังวิกฤติการณ์ปี 2540,รังสรรค์ ธนะพรพันธุ์,โครงการจัดพิมพ์คบไฟ
12.) อ่าน(ไม่)เอาเรื่อง ,ชูศักดิ์ ภัทรกุลวณิชย์,โครงการจัดพิมพ์คบไฟ
13.)ทำไมผู้ชายถึงมีนม? และอีกร้อยกว่าคำถามที่คุณกล้าถามหมอ ก็ต่อเมื่อหมดมาร์ตินีไปแล้ว 3 แก้ว,มาร์ค ลีเนอร์ และ นายแพทย์บิลลี โกลด์เบิร์ก,อุทัย วงศ์ไวศยวรรณ แปล,โครงการจัดพิมพ์คบไฟ
14.)เหนือมิติที่สี่ของไอน์สไตน์,ดร.มิชิโอะ คากุ และ เจนิเฟอร์ ทอมป์สัน,สว่าง พงศ์ศิริพัฒน์ แปล,โครงการจัดพิมพ์คบไฟ
15.)เมื่อช้างร้องไห้,เจฟฟรีย์ มูไซเอฟ แมสสัน และ ซูซาน แมคคาธี,วราพร สุรวดี บรรณาธิการแปล,โครงการจัดพิมพ์คบไฟ
16.)ถ้าจิตรยังมีชีวิตอยู่,วรศักดิ์ มหัทธโนบล,สำนักพิมพ์สามัญชน
17.)เช เกวารา ตำนานชีวิตนักปฏิวัติผู้ต่อต้านจักรวรรดินิยม,ศรีอุบล เรียบเรียง,สำนักพิมพ์สามัญชน
18.)One Hundred Years of Solitude(หนึ่งร้อยปีแห่งความโดดเดี่ยว),กาเบรียล การ์เซีย มาร์เกซ,ปณิธาน - ร.จันเสน แปล,สำนักพิมพ์สามัญชน
19.)อัตชีวประวิติ หม่อมศรีพรหมา กฤดากร,หม่อมศรีพรหมา กฤดากร ณ อยุธยา,สำนักพิมพ์สารคดี
20.)The magic of mathematics(คณิตศาสตร์มหัศจรรย์),Theoni Pappas,ดร.กิตติกร นาคประสิทธิ์ และ โกสุม กรีทอง แปล,สำนักพิมพ์สารคดี
21.)ตามรอยกำเนิดมนุษย์,ดร.ธนิก เลิศชาญฤทธ์,สำนักพิมพ์สารคดี
22.)เจ้าชาวบ้าน ม.ร.ว.อคิน รพีพัฒน์,วิมล อังสุนันทวิวัฒน์,สำนักพิมพ์พระอาทิตย์
23.)ชนัตถ์ ปิยะอุย ผีเสื้อเหล็กแห่งดุสิตธานี,ปรวรรณ ธนวัฒน์เสรี,สำนักพิมพ์พระอาทิตย์
24.)คนเลี้ยงม้า,ธีรภาพ โลหิตกุล,สำนักพิมพ์มติชน
25.)กระทบไหล่เขา,ปราบดา หยุ่น,สำนักพิมพ์ระหว่างบรรทัด
26.)เช ยังไม่ตาย,กนกพงศ์ สงสมพันธุ์,สำนักพิมพ์นาครมีเดีย
27.)สิ่งที่ทำให้หัวใจเต้นแรง,กระบี่ไม้ไผ่,สำนักพิมพ์ยูเรก้า
28.)อำนาจของฝันร้าย บทวิเคราะห์ฉากหลังเหตุการณ์คุกคามสะเทือนขวัญทั่วโลก,กำพล นิรวรรณ เรียบเรียง,สำนักหนังสือใต้ดิน
29.)รวมความเรียงคัดสรร ปราบดา หยุ่น เขียนถึงญี่ปุ่น,ปราบดา หยุ่น,สำนักหนังสือไต้ฝุ่น
30.)Greece ดินแดนแห่งเทพเจ้าและตำนาน,อัลฟาและโรมิโอ,สำนักพิมพ์วงกลม
31.)เบื้องหลังการปฏิวัติ๒๔๗๕ ,กุหลาบ สายประดิษฐ์, สำนักพิมพ์มิ่งมิตร
32.)Master in security,จตุชัย แพงจันทร์,Info Press
33.)30วัน เล่ม3,ภิญโญ ไตรสุริยธรรมา,สำนักพิมพ์โอเพ่น
34.)โลกของเราขาวไม่เท่ากัน,ม.ล.ปริญญากร วรวรรณ และ วรพจน์ พันธุ์พงศ์,สำนักพิมพ์โอเพ่น
35.)คน เขื่อน น้ำ ป่า กาแลคซี่,วันชัย ตันติวิทยาพิทักษ์,สำนักพิมพ์โอเพ่น
35.)open air,ภิญโญ ไตรสุริยธรรมา บรรณาธิการ,สำนักพิมพ์โอเพ่น
36.)เมด อิน U.S.A.,สุจิตต์ วงษ์เทศ,สำนักพิมพ์โอเพ่น
37.)เช็คหัวใจ สุทธิพงษ์ ธรรมวุฒิ,วรพจน์ พันธุ์พงษ์ สัมภาษณ์และเรียบเรียง,สำนักพิมพ์พิมพ์บูรพา
38.)หลังไมค์ บีบีซี,นวลน้อย ธรรมเสถียร สุธาริน คูณผล อรนุช อนุศักดิ์เสถียร อิสสริยา พรายทองแย้ม,สำนักพิมพ์พิมพ์บูรพา
39.)วาดเก่งเรื่องกล้วยๆ วาดด้วยสมองซีกขวา,Betty Edwards,ชนิสา อรรถจินดา,สำนักพิมพ์ขวัญข้าว'๙๔

ดวง
20071020 21:41

Sunday, September 30, 2007

อยากมีหมอน

หายไปนานทีเดียวครับคราวนี้...
ที่หายไปไม่ได้แอบไปเที่ยวใหน หรือป่วยไข้แต่อย่างใด
แต่ที่ไม่ได้มีเรื่องเอามาลง ทั้งๆที่ไออุ่นลาวใต้อีกไม่กี่เดือนก็จะครบปีแต่ไปไม่ถึงลาวสักที -_-'
เป็นเพราะอยากจะเขียนเรื่องอื่นคั่นไออุ่นอีกสักตอน แต่ดันนึกอะไรไม่ออกเลย ผับผ่าสิ...

แว่บแรก..คิดว่าไม่เขียนสักอาทิตย์คงมีเรื่องอะไรให้มาเล่าสู่กันฟัง
แต่แล้ว...สองอาทิตย์ผ่านมาก็ยังไม่มีเรื่องอะไรในหัวอยู่ดี
สมองไม่แล่น?... คงไม่ใช่ เพราะหลังจากทำการหาสาเหตุของการตื่นนอนแล้วมึนไปทั้งวัน ว่าเป็นที่หมอนที่หนุนหัวตัวเองไม่ได้ระดับทำให้มีอาการเจ็บต้นคอในบางวัน ส่วนบางวันที่เหลือจะมึน โดยมีอาการคล้ายลักษณะคนเป็นดาวน์ คือไอคิวลดต่ำลงอย่างน่าใจหาย การตอบสนองช้าบวกกับหน้าตาอย่างกับคนเมาหมอนทั้งวัน(อันหลังสุดเป็นอาการของโรค Down-Pillow ที่ชัดเจนมาก)
ตอนแรกเข้าใจว่านอนไม่พอทำให้เป็นอย่างนี้ (ทั้งๆที่ก็นอนวันละเจ็ดชั่วโมงอยู่แล้ว) จึงทำการทดลองนอนเพิ่มขึ้นไปอีก
แฮ่ม...ไม่ได้เป็นคนขี้เซาแต่อย่างใด แค่ช่วงทดลองรู้สึกว่าหลังตัวเองยาวขึ้นนิดหน่อย พร้อมกับความรู้สึกอิ่มทุกครั้งที่ตื่นนอน ซึ่งลักษณะโดยรวมถือว่ามีความเหมือนเทียบเคียงกับลักษณะของนักการเมืองอย่างมากจนหน้าตกใจ ระหว่างหลังกับเขี้ยวที่ยาว และกินกับโกงบ้านโกงเมือง... เพียงแค่คิดก็รู้สึกขนลุกกับอาการของตัวเองที่ไปใกล้เคียงถึงขนาดนั้น จึงทำให้มั่นใจว่าการนอนเพิ่มขึ้นไม่ใช่ทางออกที่ดีและทางแก้ปัญหาได้...

สงสัยและคิดหาคำตอบอยู่นาน (เนื่องจากอาการของ Down-Pillow ทำให้ต้องใช้เวลานานขึ้นไปอีก) กว่าจะมาเคลือบแคลงสหายใกล้ตัวและแนบหัวอย่างหมอนสองใบ... แต่ทำไมต้องสองใบ? หลายคนอาจสงสัยจนเครื่องหมายคำถามกระแทกจอคอมพิวเตอร์ดังปั่กๆๆๆ จึงจะรีบวิสัจฉนาในทันใดว่าเพียงแค่แต่ละใบก็ล้วนแต่เก่าใช้เก่าเก็บจนแบน ซึ่งถ้าเอามานอนแบบเดี่ยวๆก็จะทำให้ดูหยิ่งเหนือฐานะไป เพราะจะดูเชิดตลอดเวลาที่นอน จึงรู้สึกว่าไม่ควรที่จะเชิดไปทั้งหัวขนาดนั้นถ้าเราไม่มีอะไรไปอวดเขาได้ ซึ่งแน่หล่ะ...จะไปมีอะไรไปอวด? ดังนั้นจึงจำต้องหาหมอนมาอีกใบเพื่อช่วยกันเกื้อหนุนให้หัวโค้งนิดๆอย่างสำรวม

แต่...อนิจจา ความพอดีไม่ใช่จะมากันง่ายๆดังที่ต้องการดอก
สองแรงแข็งขันหนุนกันสูงเกินไปจนทำให้เกิดโรค Down-Pillow ขึ้นมาตามที่ได้เรียนไปตั้งแต่ต้น แล้วไอ้ที่ Down เนี่ยก็ไม่ใช่ Pillow เสียด้วยสิ แต่เป็นสติ ปัญญาและสมาธิ ของผู้ที่แนบชิด Pillow แทน ไม่รู้ว่ากรณีอย่างนี้จะไปร้อง สคบ ได้หรือไม่? แต่ช่างมันเถอะ จะได้ถือว่าเป็นค่าโง่และอินเทรนด์เกาะตามกระแสเค้าไปด้วย

หลังจากพอคาดเดาสาเหตุได้แล้ว ก็ทำการบึ่งรถโดยสารสาธารณะ ไปซื้อหมอนใบใหม่พร้อมกับทำธุระแถวๆห้างไปด้วยเลย แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าหมอนใบใหม่ใช้แล้วจะถูกใจจนร้องโอเคเสียงดังๆเหมือนโฆษณาฮอลล์ได้? อันนี้เรียนตามตรงว่าตัวเองก็ไม่ได้จบมาทางด้านสรีระกบาลคน จึงจนปัญญาที่จะสามารถเลือกซื้อหมอนให้ตรงตามหลักวิชาการได้ แล้วจะทำอย่างไรหล่ะทีนี้? จะให้กลับบ้านมือเปล่าแล้วไปนอนพร้อมกับอมฮอลล์ไปด้วยเพื่อที่จะได้ร้องโอเคๆเสียงดังๆ ก็ดูน่ากลัวว่าจะฟันผุแทน ในขณะที่กำลังประมวลผลคิดคำนวนอย่างหนักหน่วงนั้น ก็หันไปเห็นเตียง ใช่สิ! วิธีการทดสอบใดเล่าจะดีเทียบเท่าการใช้จริงได้ ฮ่าๆๆ
.
..
...
....
.....
......
.......
เสียใจด้วยสำหรับคนที่จินตนาการไปล่วงหน้าแล้ว ว่าผมจะไปนอนบนเตียงพร้อมกับวัตถุทดลองกลางห้าง...
ใครบ้าที่ใหนจะไปทำ... หมอนมีต้องหลายยี่ห้อหลายแบบ ขืนผมทำจริงผมต้องนอนประมาณสัปดาห์กว่าๆ มันนานเกินไปครับ ผมไม่มีเวลาว่างขนาดนั้น

ผมก็แค่เลือกที่รูปทรงมันน่าจะรับกับหัวได้ และเอาที่เป็นใยสังเคราะห์จะได้ไม่มีฝุ่นที่เป็นบ่อเกิดของโรคหอบและเคหะสถานของตัวไรฝุ่น และที่สำคัญหมอนที่ผมเลือกมีรูปผู้หญิงนอนยิ้มอย่างมีความสุขจนทำให้เกิดความอิจฉาอยากเป็นอยากมีบ้าง ซึ่งเป็นธรรมดาสำหรับปุถุชนมนุษย์ที่ไม่ได้บรรลุอะไรทั้งสิ้นอย่างผม สำหรับความอยากมีอยากเป็น

หลังจากเลือกได้ก็บึ่งรถโดยสารสาธารณะกลับมาที่บ้านด้วยใจอยากทดลองหมอนใหม่ ซึ่งในเวลาเดียวกันจำต้องสวมวิญญาณเพชรฆาตทอดทิ้งสหายเก่าทิ้งไป ดั่งคนอกตัญญูไม่เห็นบุญคุณกัน ทั้งๆที่หนุนส่งมาตั้งนมนาน...

ผลการทดลอง... อาการ Down-Pillow หายไปอย่างอย่างไม่เคยรู้สึกมาก่อน (ขอสารภาพว่าดีใจจนลืมร้องโอเคๆไป) มีชิวิตกลับมาทำงานสมเงินเดือนได้อีกครั้ง แต่สมโอทีหรือไม่นี่ยังไม่แน่ใจ... และทรมานเพื่อนๆน้องๆที่ร่วมงานด้วยไอเดียที่บรรเจิดขึ้นมาอย่างไม่ได้ตั้งใจ จนทำให้เหนื่อยไปตามๆกัน (ต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย)

และนี่คือเรื่องคั่นอย่างหาสาระไม่ค่อยได้ และเล่ามาด้วยความทะลึ่งบ้องของการใช้คำและโครงสร้างที่มั่วขึ้นมาเรื่อยๆตามแต่ใจผู้เขียน จึงไม่เหมาะแก่บุตรของนักภาษาศาสตร์หรือครูภาษาไทยแต่อย่างใด เพราะถ้าเกิดการลอกเลียนแบบคำไปใช้จะทำให้พ่อแม่ท่านเศร้าใจได้ แต่เพียงแค่หวังว่าจะบันเทิงเริงรมย์และมีรอยยิ้มพิมพ์กันบนหน้ากันตามอัตภาพ
ขอขอบคุณที่ติดตามกันจนจบ...



ดวง
20070930 23:44

Sunday, September 2, 2007

แหม...ทำไปได้

คนใส่ชุดนักศึกษารัดรูป ก็เห็นกันเกลื่อนเมือง
คนใส่เสื้อเชิ้ตรัดรูป ก็งั้นๆ พบเห็นได้ทั่วไป
แต่ๆ....
อุ๊แม่เจ้า....
ผมเจอๆๆๆ....
....
....
นักศึกษาวิศวะใส่เสื้อช็อปรัดรูป!!??!!
แหม...มันทำไปได้


ดวง
20070902 23:05

Saturday, August 25, 2007

ไออุ่นลาวใต้ ตอน 11

อุบล#6

ในบริเวณใกล้ๆวัดหนองบัวนั้น จะมีสวนสาธารณะอยู่ใกล้ๆแต่ด้วยความที่สวนนี้เพิ่งสร้างขึ้นมาจึงทำให้บรรยากาศยังไม่ร่มรื่นเท่าที่ควร ต้นไม้ยังเล็กอยู่ ดูแล้วช่วงเวลาเย็นๆน่าจะชวนนั่งเหมือนกัน และแม้ว่ายังกลางวันอยู่แต่ก็อดใจที่จะแวะเข้าไปเดินเล่นไม่ได้ เดินจนพอใจแล้วถึงออกมาได้

อย่างที่ทราบว่าผมไม่ได้เข้าพิพิทธภัณฑ์ตามที่ตั้งใจไว้เนื่องจากมันปิด ผมจึงเปลี่ยนเป้าหมายมาที่จุดค้นพบโบราณวัตถุวัดบ้านก้านเหลืองแทน เท่าที่ดูข้อมูลนั้นไม่มีรถสองแถวผ่านหน้าวัด จะต้องเดินหรือนั่งมอเตอร์ไซด์รับจ้างเท่านั้น และเท่าที่ดูรอบๆข้าง ไม่เห็นมอเตอร์ไซด์รับจ้างเลยสักคัน...

แวะซื้อน้ำเปล่าตุนไว้ที่เซเว่น จึงถามถึงเส้นทางไปวัดบ้านก้านเหลืองไปในตัว ได้ความว่า "ใกล้ม๊ากกค่ะ สองกิโลเท่านั้นเอง ไปส่งก็ได้นะคะ"

ไม่มีเชิญชวนซื้อขนมจีบซาลาเปาอย่างที่คุ้นเคย แต่เป็นน้ำใจที่ล้นเอ่อเกินถ้วยบิ๊กกัลฟ์จะรับได้ ใจดีจริงๆ...

ผมยิ้มพร้อมผงกหัวขอบคุณในน้ำใจ แต่เลือกที่จะเดินไปเองดีกว่า กับแค่สองกิโล อืมมม...สบายยยยยย

สิบห้านาทีผ่านไป....

ท้องฟ้าสดใส ไร้ซึ่งเมฆมาบดบัง...เอ่อ..แสงแดด อากาศร้อนมาก แม้ว่าจะเป็นเดือนธันวาก็ตาม
เหงื่อเริ่มท่วม... ยังไม่เห็นวี่แวววัดบ้านก้านเหลืองแม้แต่น้อย ทนไม่ไหวเลยต้องแวะถามคนเพื่อความแน่ใจว่ายังไม่ได้เดินเลยมาแล้ว ได้คำตอบว่ายังไม่ถึง อยู่ตรงหัวมุมนุ้นนน พร้อมชี้นิ้วประกอบ
อืมมม... สุดสายตาพอดี เป็นสองกิโลที่เหนือความคาดหมายจริงๆ แต่ไม่มีทางเลือก เดินก้มหน้าก้มตาต่อไป

อีกสิบห้านาทีผ่านไป...

เข้ามาภายในวัดพร้อมสภาพที่ชุ่มเหงื่อ ยืนอยู่หน้าหม้อดินเผาแปดใบในหลุม เอ๊ะ...ทำไมไม่เหมือนในรูปในหนังสือท่องเที่ยว เช็คไปเช็คมาทำให้ทราบว่าวัตถุโบราณบางส่วนได้ถูกย้ายออกไปเก็บไว้ที่พิพิทธภัณฑ์ จึงเหลืออยู่เท่าที่เห็น... -_-'



ดูหม้อแปดใบคนเดียวอย่างงงๆ กับคำอธิบายที่ทำเป็นบอร์ดไว้ก็ไม่ได้บอกอะไรมาก... ยังดีที่ภายในวัดนั้นร่มรื่นพอสมควร พร้อมกับมีลมเย็นๆ โชยมาตลอดเวลา ช่วยทำให้ใจได้ผ่อนคลายลงอย่างดี ผมใช้เวลานั่งพักผ่อนให้ร่างกายที่เปียกไปด้วยเหงื่อได้แห้งลงไปบ้าง พร้อมกับจดบันทึกสิ่งที่ได้พบเจอมา

"บางทีความจริงกับสิ่งที่เราคาดหวังจะสวนทางกันบ้าง ก็คงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร..." อย่างไรซะ มีความสุขกับความจริงก็คงไม่ใช่สิ่งที่ทำไม่ได้...

กับอีกสองกิโลขากลับ แม้ว่าจะรู้แล้วว่าร้อน เหนื่อย และห้วงเวลาแห่งความทรมานจะทำเวลาในหนึ่งวินาทียาวกว่าความเป็นจริง แต่สิ่งที่ผมได้บันทึกไว้อีกทีหลังจากเดินเสร็จแล้ว... "เรามีทางเลือกอยู่เพียงสองทาง จะเดินด้วยอารมณ์หงุดหงิด หรือเดินไปฮัมเพลงไป"

ผมไม่รู้ว่าผมฮัมไปกี่เพลง แต่สิ่งที่รู้มีแค่เพียงสองกิโลขากลับ ยาวไม่เท่าขาไป!
และรู้ด้วยว่าตัวกำหนดระยะทาง คงไม่ได้มีเพียงเครื่องวัดเท่านั้น ถ้าเราลองเริ่มใช้ใจวัดดู
"ซึ่งผลที่ได้จะสวนทางกับความจริง ก็คงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร..."


ดวง
20070826 00:13

Monday, August 13, 2007

จิดวิทยาหมู่

แต่ก่อนแต่ไรมา ผมเชื่อมั่นมาตลอดถึงความมีสติในการจับจ่ายใช้สอยเงินทอง
เชื่อมั่นในการสั่งสอนของแม่ ที่มักจะให้ลูกเก็บตังค์ซื้อของเองเมื่อต้องการ
คุณค่าของเงินจึงเป็นสิ่งที่ผมตระหนักดี ว่าควรใช้เมื่อใด เพื่อสิ่งใด และควรจะตัดใจไม่สนใจเสียเงินทองกับเรื่องใด

จนกระทั่งวันนี้... วันที่ผมรู้สึกเหมือนกับตัวเองเป็นหมอประกิตเผ่า ที่ถูกรายล้อมด้วยเปมิกานับสิบชีวิต
เงินทองทั้งหมดทั้งปวง หายไปเมื่อใดไม่ทราบ รู้ตัวอีกทีก็ไม่มีเหลือแล้ว...

ผมเสียท่าให้กับจิตวิทยาหมู่ครับ...
นี่เป็นครั้งที่สองแล้ว ที่ผมโดนจิตวิทยาหมู่เล่นงาน
ครั้งแรกผมพลาด... แต่ยังเชื่อมั่นว่าเอาอยู่ ครั้งต่อไปไม่มีทางพลาดแน่นอน
แต่แล้ว...ผมก็สู้ไม่ไหว หมดสมรรถภาพทางการใช้เงินไปอย่างไม่น่าเชื่อ
อยากจะร้อง ฮาเลลูย่าาาา ออกมาดังๆ แต่ตัดใจได้ทันเพราะคิดว่ามันไม่เกี่ยวกัน...

จุฬามีเปมิกาเพียงคนเดียว แต่ที่นี่ TBT (Thailand Book Tower) มีเปมิกาเป็นสิบๆ

ครับ!... ผมโดนจิตวิทยาหมู่เล่นงานที่ TBT

อันที่จริงแล้ววันนี้ผมออกจากบ้านโดยมีเป้าหมายไปที่การซื้อหนังสือในตำนาน "ข้างหลังโปสการ์ด โดยหลานเสรีไทย" ซึ่งเป็นหนังสือแนวท่องเที่ยวที่ชอบมาก ได้อ่านอย่างบังเอิญโดยพี่ IKKE แนะนำมา เล่มที่อ่านนั้นเป็นหนังสือยืมจากห้องสมุด ทำให้พออ่านจบก็เกิดกิเลสอยากมีไว้ให้ได้หยิบมาอ่านอีกทีเป็นแบบส่วนตัวบ้างสักเล่ม ลองๆหาข้อมูลดูก็ไม่พบร้านที่มีขายเลย จึงพาลให้คิดว่าไม่น่าจะหาได้อีกแล้ว จนกระทั่งเมื่อวาน...ได้ทราบข้อมูลอย่างบังเอิญว่ามีขายที่ร้านตรงถนนปั้น ซึ่งเป็นร้านของหลานเสรีไทยเองเลย



ถนนปั้นกับ TBT นั้นห่างกันไม่เกิน 500 เมตร จึงเป็นเหตุให้ผมตัดสินใจเพิ่ม TBT เข้าไปในจุดหมายด้วย เพื่อหมายมั่นว่าจะมาแก้มือจากครั้งก่อนที่เพลาดท่าเสียทีไป

แต่เดินใน TBT ไม่ถึงสองชั่วโมงดี ผมก็พบว่าตัวเองมายืนอยู่หน้าตู้เอทีเอ็ม ตั้งท่ากดจำนวนเงินเพื่อนำมาใส่กระเป๋าแทนที่เงินที่อยู่ก่อนหน้า โดยที่ด้านขวามือนั้นมีหนังสือหนึ่งกองข้างๆรอหิ้วกลับบ้าน ซึ่งอยู่ในจังหว่ะเดียวกับความต้องการที่จะร้อง ฮาเลลูย่าาาาออกมา
อย่างที่ทราบไม่ได้ร้องเพราะไม่เกี่ยวกัน...

TBT จะมีทั้งหมดเก้าชั้นครับ แต่จะมี 6 ชั้นอรหันต์ทีจะขายหนังสือ โดยที่แต่ละชั้นนั้นจะมีโซนหนังสือ 4-6 โซนโดยประมาณ ซึ่งเมื่อคำนวนดูแล้วจะพบว่าถ้าเดินครบทั้งตึกจะเจอโซนหนังสือ 24-36 โซน

24-36 โซน!! หมู่ไหมครับ... จิตวิทยาหมู่ชัดๆ
เล่นเอาร้านหนังสือมาล้อมหน้าล้อมหลัง ล้อมบนล้อมล่างอย่างนี้ เดินออกจากร้านหนังสือก็เจอร้านหนังสือ ขึ้นบันไดเลื่อนจากชั้นขายหนังสือก็เจอชั้นขายหนังสืออีก ทำให้สติสัมปะชัญญะผมขาดเอาง่ายๆเลย
ถ้าแค่เพียงซื้อร้านละเล่มสองเล่มก็ไม่รู้จะเอาตังค์ที่ใหนมาจ่ายแล้ว จึงไม่แปลกที่ฐานะอย่างผมจะหมดตัวไม่เกินชั้นสาม

กดตังค์เสร็จแล้วก็หอบหิ้วหนังสือเดินหาร้านที่ขายข้างหลังโปสการ์ดอยู่สักพักจึงเจอครับ โชคดีที่ได้ซื้อเพราะจริงๆแล้ววันนี้ปิด แต่เผอิญมีคนอยู่จึงขายให้ได้

โดยรวมถึงแม้ว่าวันนี้จะต้านจิตวิทยาหมู่ไม่ได้ แต่ก็มีความสุขดีครับ :-)

ตัวหนังสือคุ้มครองนะครับ
ดวง
20070813 11:02

Link ที่เกี่ยวข้อง
เว็บของร้านหลานเสรีไทย
http://www.kathmandu-bkk.com
เว็บ TBT
http://www.thailandbooktower.com

Wednesday, August 1, 2007

ลาว กับ จิต

เพิ่งกลับมาจากลาวครับ...

ช่วงเข้าพรรษาที่ผ่านมาเห็นว่าน่าจะเป็นการดีที่จะมีโอกาสทำบุญพร้อมกับเที่ยวไปด้วย เลยตัดสินใจไปหลวงพระบางเพื่อใส่บาตรพร้อมกับเดินชมวัดไปในตัว
เที่ยวครั้งนี้เป็นการตัดสินใจแบบปุบปับก่อนวันไปสามวันและแทบจะไม่ได้เตรียมตัวอะไรเลยครับ คงจะมีเพียงตั๋วรถไฟไปลงหนองคายเท่านั้นที่มีการจองไว้ก่อน ส่วนที่เหลือเรียกได้ว่าไปตายดาบหน้าจริงๆ เป็นการเล่นแบบแผลงๆพอสมควร เลยทำให้เที่ยวครั้งนี้ทุลักทุเลมาก... มากเสียจนเสียวว่าจะกลับเมืองไทยไม่ได้ไปหลายครั้งหลายครา

แต่ในทางกลับกัน ความทุลักทุเลก็ทำให้เที่ยวครั้งนี้มีชีวิตชีวาไม่น้อย ได้ไปอยู่ในที่ๆไม่มีนักท่องเที่ยวอยู่ ได้คุยกับคนที่นั่นอย่างสบายๆ กันเองๆ ได้สนุกและดื่มด่ำกับความงามของธรรมชาติเมืองลาวอย่างที่ไม่รู้จะหาคำพูดมาอธิบายอย่างไรถูก

ถ้าเราไม่ปิดใจ เมื่อเราพลาดสิ่งหนึ่งไปเราจะเห็นว่าเราจะได้อีกสิ่งหนึ่งมาทดแทนทุกครั้ง...
เมื่อผมจะต้องออกเดินทางจากเวียงจันทน์ไปหลวงพระบาง ผมพลาดรถแอร์อย่างดีเที่ยวเช้าไป แต่ได้รถโทรมๆ ไม่มีแอร์เที่ยวบ่ายมาแทน ความรู้สึกแรก เราไม่น่าพลาดเลย...

สองชั่วโมงถัดไป... ในขณะนั่งผมพบว่าวันนี้เป็นวันเสาร์ที่มีความสุขมากที่สุดวันหนึ่งของชีวิต ภายใต้บรรยากาศครึ้มๆ มีละอองฝนโปรยปรายมาเป็นระยะๆผสมกับกลิ่นไอดินที่ผมชอบ เคล้าลมเย็นๆที่พัดมาตลอดเวลา แถมยังรายล้อมด้วยเทือกเขาที่สลับซับซ้อนสวยงาม ทุกสิ่งทุกอย่างในเวลานั้น เป็นสิ่งที่ผมชอบทั้งหมด ทั้งสิ้น และไม่เคยได้มีโอกาสสัมผัสแบบครบอย่างนี้มาก่อน

ในขณะนั้นรถโทรมๆ เบาะเก่าๆ สำหรับผมแล้วมันได้กลายเป็นรถที่วิเศษสุดจริงๆ

ย้อนกลับมาคิดดู ถ้าผมนั่งรถแอร์เที่ยวเช้า ผมคงไม่ได้สัมผัสกับละอองน้ำ คงไม่ได้กลิ่นไอดิน คงไม่ได้รับลมเย็นๆ และคงรู้สึกเหมือนการเดินทางทั่วๆไปในวันธรรมดาวันหนึ่ง

ถ้าจะเรียกว่าเป็นการพลาดอย่างโชคดีก็คงจะไม่ผิดนัก แต่ไม่ว่าพลาดแล้วจะเจอสิ่งใด มันคงจะดีกว่าไหมที่จะพร้อมเจอสิ่งที่มาทดแทนด้วยรอยยิ้ม แล้วอยู่กับสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นให้มีความสุข แทนที่จะรำพึงรำพันกับสิ่งที่พลาดไปโดยไม่ได้อะไรขึ้นมา

จริงอยู่บางอย่างแม้ยิ้มรับ ก็คงรู้สึกว่าเกินจะทนไหว แต่ถ้าให้เลือกระหว่างที่จะต้องหงุดหงิด ตีโพยตีพายกับความทุกข์ยากที่ตนเองจะต้องเผชิญ กับการทนที่จะฝืนยิ้มรับมันเพื่อให้ใจเรานิ่งพอที่จะพิจรณาหาทางออกที่ดีกว่า ผมคงเลือกอย่างหลัง...

ถ้าจิดไม่สงบแล้ว ปัญญาคงยากที่จะเกิด พระท่านว่าอย่างนั้น

ปกติผมเป็นคนชอบที่จะอยู่กับความสวยงามของสิ่งที่ธรรมชาติสร้างมากกว่ามนุษย์สร้างอยู่แล้ว ดังนั้นแม้ว่าหลวงพระบางจะประกอบด้วยตึกรามบ้านช่อง และวัดวาอารามที่เป็นของเก่าบูรณะ อย่างสวยงาม ตามที่เป็นเมืองมรดกโลกก็ไม่ได้ดึงดูดใจผมได้นานสักเท่าไร เดินดูสักพักก็รู้สึกอิ่ม แต่สิ่งเดียวที่มนุษย์สร้างแล้วดึงดูดใจในหลวงพระบางเห็นจะเป็นสตรี สวยจนอยากอยู่ต่อ

เงาะเมืองไทยโลละ 20 บาท หลวงพระบางโลละ 40 บาท ตอนซื้อไม่ได้สนว่าเป็นราคาแพงหรือเปล่า หลับหูหลับตาซื้อมาเนื่องด้วยเหตุปัจจัยมาจากแม่ค้าอย่างเดียว สวยบาดใจจริงๆ เขาว่าความรักทำให้คนตาบอด แต่เห็นจะต้องเพิ่มเข้าไปด้วยว่าความหลงทำให้สมองส่วนประมวลเหตุผลไม่ทำงาน ไม่ได้อยากกินเงาะแต่ซื้อเงาะ ตอนซื้อก็เขินซะจนทำอะไรไม่ถูก รับมาจ่ายตังค์แล้วเดินออกทันที คิดไม่ออกว่าควรจะทำอย่างไร...

อืม... ถ้าจิตไม่สงบแล้ว ปัญญาคงยากที่จะเกิด :-)






ดวง
20070805 12:38

Thursday, July 12, 2007

"ของขวัญ"

เนื่องด้วยที่ทำงานผมอยู่ย่านใจกลางเมือง แต่โดยนิสัยส่วนตัวนั้นเป็นพวกชอบอยู่อย่างเรียบง่าย สบายๆ จึงทำให้ผมรู้สึกอึดอัดไม่น้อยที่ต้องอยู่ท่ามกลางคนปริมาณมาก เมื่อคนมากมลพิษทางเสียง ทางอากาศ และหลายๆครั้งที่เป็นทางสายตาก็เพิ่มมากขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

ซ้ำเมื่ออาหาร เครื่องดื่มหรือแม้กระทั่งบริการมีไม่เพียงพอในยามที่ทุกๆที่ได้เวลาพัก กลไกตลาดจึงทำงานอย่างขันแข็งให้ข้าวของแพงขึ้น และปริมาณลดน้อยลงเมื่อเทียบกับท้องที่อื่น จริงอยู่ของดีราคาสมเหตุสมผลก็พอมีให้เสาะหากันได้ แต่เนื่องจากเวลาพักเป็นตัวจำกัด ทำให้บ่อยครั้งการแย่งชิงเองเป็นสิ่งทีปฏิเสธไม่ได้เช่นกัน

ย้อนมองดูตัวเองก็เศร้าใจ ในเมื่อมลพิษที่รังเกียจนักรังเกียจหนา ตัวเองก็มีส่วนสร้างอยู่ไม่น้อย การแย่งชิงเองในบางครั้งก็มีส่วนร่วม ในเมื่อใจก็ไม่ชอบสิ่งแวดล้อมอย่างนี้แต่ก็ยังคงทำงานอยู่มาได้ตั้งนมนาน และนานพอที่จะทำให้บ่อยครั้งรู้สึกว่าฝุ่นละอองเป็นเรื่องปกติ ขยะเป็นเรื่องธรรมดา ซึ่งกว่าจะได้สติก็ตอนออกไปท่องเที่ยวแล้วทำให้รู้ว่าอากาศที่สะอาดเป็นอย่างไร และธรรมชาติน่าอยู่ด้วยเพียงใด

ถ้าไม่มีงานที่สนุก เพื่อน พ้อง น้อง พี่ ที่น่ารัก เป็นตัวแปรสำคัญ ผมคงอยู่อย่างนี้ได้ไม่นานอย่างที่เป็น และถ้าไม่ได้รถไฟฟ้าทั้งบนดิน ใต้ดิน ผมก็คิดไม่ออกเหมือนกันว่าจะทนกับสภาพจราจรเวลาเดินทางไป กลับ ได้มากน้อยเพียงใด

ด้วยความสะดวกรวดเร็วของรถไฟฟ้า ทำให้ชีวิตวันทำงานและไม่ทำงานของผม มักจะฝากการเดินทางไว้ด้วยอยู่เป็นประจำ โดยสารชำนาญถึงขั้นรู้ว่าควรจะวิ่ง เดินเร็ว หรือเดินเนือยๆสบายอารมณ์จากที่ขายตั๋วถึงชานชาลา ถึงจะขึ้นรถไฟฟ้าได้ทันเวลา แบบพอดีเป๊ะๆ หรือแม้กระทั่งควรจะเข้าประตูใหนของขบวนแล้วทำให้ออกมาตรงบันไดชานชาลาพอดี ไม่ต้องเดินไกล

แต่ความสะดวกสบายในการเดินทางลดน้อยลงหลังจากเกิดเหตุการณ์วางระเบิดในกรุงเทพช่วงวันปีใหม่ จนมีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บไปหลายคน ทำให้ผมเริ่มได้เห็น รปภ ยืนประจำทุกทางเข้าออกของรถไฟฟ้าใต้ดิน เพื่อตรวจสัมภาระก่อนเข้าใช้บริการ

สำหรับคนที่ไม่ค่อยมีสัมภาระอะไรอย่างผมนอกจากเป้สะพายหลังที่มีแต่หนังสือและกระดาษนิดหน่อย จึงยินดีเปิดให้ค้นเจอของเดิมทุกวันอย่างไม่อิดออด และไม่รู้สึกอะไรกับมาตราการนี้สักเท่าไรจะกระทั่งวันนี้...

วันที่ผมเห็นผู้หญิงคนหนึ่งยืนแกะกระดาษห่อกล่องของขวัญอย่างบรรจง เพื่อให้ รปภ ตรวจค้นของที่อยู่ภายใต้กล่องและกระดาษห่อ ของขวัญที่เป็นตัวกลางส่งความสุขถึงผู้รับ คงสูญเสียความเป็นของขวัญของตัวมันเองไปจนหมด ในเมื่อผู้ส่งคงไม่เหลือความสุขไปส่งต่ออีกแล้ว

จากภาพที่เห็นนอกจากจะทำให้ผมเห็นใจผู้หญิงคนนั้นขึ้นมาจับใจแล้ว ยังทำให้ผมหดหู่ใจและต้องถามตัวเองอย่างจริงๆจังๆ ว่าเกิดอะไรขึ้นกับสังคมของเรา ผมไม่ได้โกรธหรือเกลียดอะไรกับมาตราการรักษาความปลอดภัยหรือความเข้มงวดของ รปภ ด้วยความเข้าใจว่าเป็นไปตามการป้องกันเหตุที่จะเกิด แต่คำถามที่ผมถามตัวเองนั้นยังให้เกิดคำถามตามมาอีกว่า ก่อนที่เขาจะฆ่าหรือทำร้ายคนที่ไม่เคยทำอะไรให้เขาโกรธเกลียด เขาคิดอะไรอยู่ เขามีเหตุผลอะไรอยู่ในใจ

เราได้รับข่าวจากเหตุการณ์ฆ่ากันตายทุกวันในสามจังหวัดภาคใต้ จนเริ่มกลายเป็นข่าวสารในชีวิตประจำวันธรรมดาข่าวหนึ่ง ทั้งๆที่คนที่ถูกฆ่าตายนั้นไม่สมควรที่จะตายเลย

คงยากที่จะล่วงรู้ถึงเหตุผลหรือไม่มีเหตุผลของผู้กระทำ ที่อาจจะมาจากจุดประสงค์บางอย่าง อุดมการณ์ หรือเอาเข้าจริงๆแล้วเขาอาจหาไม่จะไม่รู้เลยว่าตัวเองฆ่าคนไปเพราะเหตุใด
แต่คงไม่ยากที่จะบอกว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็แล้วแต่ก็ไม่ควรจะมีใครตาย ไม่ควรจะต้องมีใครสูญเสีย หรือได้รับความทุกข์ร้อน ในเมื่อเขาเหล่านั้นไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องด้วยเลย หรือแม้คนที่เกี่ยวข้องเขาสมควรที่จะได้รับโทษเป็นความตายหรือ



ผมไม่รู้ว่าจวบจนเมื่อไหร่ผมถึงจะหาคำตอบของคำถามที่ตั้งไว้กับตัวเองได้


ผมไม่รู้ว่ากล่องของขวัญนั้นจะถึงผู้รับด้วยสภาพอย่างไร


ผมไม่รู้ว่าคนรับจะรู้สึกอย่างไรเมื่อคนแรกที่ได้เห็นของขวัญในกล่องหลังจากห่อนั้น ไม่ใช่เค้าแต่เป็นรปภ


แต่ตอนนี้ผมรู้เพียงแค่ว่า...ถ้าเราเลิกฆ่ากัน ทำร้ายกัน มันจะกลายเป็นของขวัญที่ดีที่สุดที่ส่งมาหาเราทุกคน...




ดวง
20070712 23:12

Saturday, July 7, 2007

ไออุ่นลาวใต้ ตอน 10

อุบล#5

จากสวนสาธารณะทุ่งศรีเมือง ผมนั่งรถต่อมาที่วัดหนองบัวที่อยู่ตรงชานเมือง ผมมาถึงโดยสวัสดิภาพครับ ไม่ใช่ว่ารถมันสุดสายที่นี่หรอกนะครับ เพราะถึงผมจะหลงเก่งอย่างไร มันต้องมีบ้างสิน่าที่โชคดีไม่หลง... และครั้งนี้ก็เป็นหนึ่งในนั้นครับ จากข้อมูลในหนังสือท่องเที่ยววัดนี้จะมีพระธาตุเจดีย์ศรีมหาโพธิ์ ซึ่งจำลองมาจากเจดีย์พุทธคยาประเทศอินเดีย

พุทธคยานั้นเป็นสถานที่ตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า โดยจะมีพระที่นั่งวัชรอาสน์ และต้นพระศรีมหาโพธิ์ ซึ่งเป็นที่ที่พระพุทธเจ้าทรงประทับตรัสรู้อยู่ นอกจากนั้นยังมีองค์พระเจดีย์ศรีมหาโพธิวิหาร ซึ่งเป็นเจดีย์ใหญ่ทำด้วยหินทราย สูงประมาณ 160 ฟุต ตามประวัติเล่าว่า พระเจ้าอโศกมหาราชได้สร้างขึ้น เมื่อราว 300 ปีก่อนคริสตกาล หรือประมาณ พ.ศ.205 โดยเชื่อว่าตัวเจดีย์ใหญ่ได้รับการบูรณะและสร้างขึ้นใหม่เมื่อราวคริสตศตวรรษที่ 7 โดยกษัตริย์วงศ์ปาละ แห่งแคว้นเบงกอล (ขอขอบคุณ google และเว็บอ้างอิงสำหรับข้อมูล)

สมัยก่อนเมื่อไปเที่ยววัดเที่ยววากับเพื่อนๆ นั้น ผมมักจะได้รับความหวังดีจากเพื่อนๆเสมอๆ โดยบอกให้ยืนรอข้างนอกวัด มันเป็นห่วงสุขภาพผมกัน กลัวว่าผมจะร้อน... เจออย่างนี้ผมก็เลยหันไปตอบว่า ผีบ้านเอ็งเหรอ เรียนพุทธศาสนาได้เกรด 4 นี่...คุยซะเลย โดยขณะพูดนั้นต้องยืดตัวให้ตรงๆ พองๆ ด้วย ภาษาชาวบ้านเขาจะเรียกว่าเบ่ง :-)

วัดนี้สงบมากครับ สงบจริงๆ สงบเงียบเชียบ ถึงขั้นอ้างว้าง วังเวงเลยทีเดียว นอกจากเจดีย์พุทธคยาที่ตั้งตระหง่านอยู่แล้ว ผมมองไม่เห็นสิ่งมีชีวิตอยู่ในระแวกวัดเลย แต่นี่ไม่ใช่ปัญหาครับ (เพราะยังกลางวันอยู่) ผมเดินเข้าไปไหว้พระภายในตัวองค์เจดีย์ ซึ่งสวยและใหญ่กว่าที่ผมจินตนาการไว้เยอะ จัดแจงถ่ายรูป พร้อมกับเดินดูภายในวัดไปเรื่อยๆ ตัวองค์เจดีย์นั้นจะมีสองชั้นซ้อนกันครับ ชั้นในเป็นสีทอง ส่วนชั้นนอกทำจากปูนสีขาว เท่าที่ทราบประวัตินั้นตัวองค์เจดีย์ในถูกสร้างขึ้นเนื่องในโอกาสครบรอบ พุทธศตวรรษที่ 2500 และหลังจากนั้นอีก 5 ปีถัดมาจึงได้มีการสร้างองค์เจดีย์องค์ใหญ่ครอบอีกที








วันพรุ่งนี้ผมจะเข้าลาวแล้ว ตัวผมเองก็ยังไม่แน่ใจตัวเองว่า จะเป็นการเดินทางที่ปลอดภัยจนกลับมาเมืองไทยได้หรือเปล่า ตัวเองก็หลงทางเก่งใช่ย่อย ที่พักก็ไม่รู้จะหาได้หรือไม่ และยังกังวลเลยเถิดไปถึงอันตรายจากการจี้ปล้นอีก... ภายใต้การกังวลต่างๆนาๆ ผมตัดปัญหาโดยการไล่โทรสั่งเสียก่อนเลย ซึ่งเพื่อนๆพี่ๆน้องๆที่ผมโทรไปก็แสนจะดี ทุกคนคอยย้ำเตือนถึงของฝาก ให้ซื้อกลับมาด้วย...
เออ แฮะ ไม่ได้ห่วงตูเลย -_-''

ดวง
20070707 22:57

Sunday, July 1, 2007

ไออุ่นลาวใต้ ตอน 9

อุบล#4

เขาว่ากันว่าลมหนาวมักจะทำให้เรารู้สึกเหงามากขึ้นเป็นพิเศษ...
อาจเป็นเพราะความเย็นแห้งๆ ชวนใจห่อเหี่ยวโหยหาเหือดแห้งหาย และหดหู่ลงเรื่อยๆ
อาจเป็นเพราะความอบอุ่นของตัวเราที่พรากจากเราไปพร้อมกับลมโดยไม่ทันได้ร่ำลา
อาจเป็นเพราะใบไม้สีน้ำตาลที่ร่วงโรย ทิ้งกิ่งไม้ไว้ข้างหลังเพียงลำพัง

ภายใต้บรรยากาศอย่างนี้ ถ้าผมจะคิดถึงใครบ้างก็คงไม่ผิดนัก หรือถ้าผมจะหยิบโทรศัพท์มือถือโทรหาใครสักคนก็คงจะไม่น่าเกลียด แต่กลับกัน...ผมดันนั่งอมยิ้มไปเรื่อยๆ โดยที่ยังไม่ได้คิดถึงใคร และโทรศัพท์มือถือยังคงหลับอยู่ที่เดิมของมัน
ผมไม่ได้ยิ้มให้กับความอ้างว้างเดียวดายของตัวเอง ซึ่งถ้าจะพูดว่าอ้างว้างก็คงจะไม่ถูกต้องนัก
เพราะจริงๆแล้วผมไม่ได้นั่งอมยิ้มตามลำพัง แต่ยังมีรอยยิ้มควบเสียงหัวเราะสดใสเคลื่อนที่ไปมาข้างหน้าผมเต็มไปหมด

ที่ๆผมนั่งคือทุ่งศรีเมือง สวนสาธารณะของจังหวัดอุบลครับ ผมมาในช่วงเวลาเดียวกับโรงเรียนอนุบาลข้างๆกำลังจะมีกีฬาสีขึ้น ครูจึงนำนักเรียนในแต่ละสีมาซ้อมกีฬากันในสวน

ผมเชื่อว่าทุกคนคงไม่ปฏิเสธความน่ารัก บริสุทธิ์ของเด็ก และเด็กแต่ละคนก็มีความสว่างสดใสประดับอยู่ในตัวเอง
และที่นี่...เด็กกว่าร้อยชีวิต เล่นเอาสวนสาธารณะสว่างไปหมดเลยทีเดียว

แต่ถึงแม้จะสว่างขนาดใหน ก็ไม่มีพิษไม่มีภัยต่อดวงตาของเราแม้แต่น้อย ซ้ำยังกลับทำให้ใจมีชีวิตชีวาตามเด็กๆไปด้วย

ผมนั่งมองอยู่นาน........จนเห็นเด็กชายคนหนึ่งยืนเก้ๆกังๆในตำแหน่งผลัดที่สามของกีฬาวิ่งผลัด เพื่อรับไม้ส่งต่อจากเพื่อน
แล้ววิ่งอย่างไม่คิดชีวิต พร้อมความหวังจะทำให้ทีมตนเข้าที่หนึ่ง แต่ความตั้งใจท่ามกลางความตั้งใจก็ช่วยอะไรไม่ได้มาก ในเมื่อตัวเขามีช่วงขาที่สั้นกว่าคนอื่น ซึ่งแม้จะมีความคล่องตัวเข้ามาแทนส่วนที่ขาดหายก็ตาม แต่ก็ทำได้เพียงรักษาอันดับที่ไม้ก่อนหน้านี้ส่งมาเท่านั้น

ผมมองเด็กคนนั้นด้วยความรู้สึกคุ้นเคยสนิทสนมเป็นอย่างดี และถ้ามีโอกาสได้เข้าไปใกล้ ผมอยากจะนั่งฟัง ให้เขาเล่าจินตนาการ ความฝัน ความหวังในใจ อยากให้เขาแสดงตัวเป็นยอดมนุษย์ต่อสู้กับเหล่าร้ายให้ดู และอยากจะลูบหัวแล้วกระซิบบอกเขาเบาๆ ว่านี่คือสิ่งวิเศษที่ทุกๆคนได้มา ที่เมื่อเวลาผ่านไป กลับไม่มีใครรู้ว่าสิ่งเหล่านี้ได้หายไปจากตัวเราเมื่อไร ดังนั้นรักษามัน กอดมันไว้ให้ดีๆนะ.........เด็กชายดวง



ผมลุกขึ้นปัดฝุ่นที่กางเกงตำแหน่งตูดของผู้ใส่พอสะอาด แล้วเดินเล่นรอบสวนไปเรื่อยๆ ในสวนนี้มีหลายสิ่งหลายอย่างให้เดินดูเล่นครับ ตั้งแต่รูปหล่อขบวนแห่เทียนพรรษาจำลองขนาดใหญ่ ปฎิมากรรมแสดงสัญลักษณ์ ความแตกต่างระหว่างหญิงสาว ไทย ลาว เวียดนาม และเขมร หรือแม้กระทั่งเสาหลักเมือง





อากาศพอเริ่มอุ่นจากแสงแดดที่สาดส่องลงมาอย่างไม่มีทีท่าว่าจะเหนื่อย... ผมถอดเสื้อแจ๊กเก็ตกันความเย็นอมความร้อนพับเก็บเข้าใส่กระเป๋า แล้วเดินต่อไปยังท่ารถเพื่อมุ่งไปยังจุดหมายถัดไป พร้อมกับมือที่จูง........เด็กชายดวง


ดวง
20070701 15:33

Sunday, June 24, 2007

ฺBookapool (บุ๊ค-กะ-พูล)

เคยเดินเข้าไปในร้านหนังสือ พบเจอหนังสือที่ท่าทางถูกใจแต่ไม่แน่ใจว่ามันดีหรือเปล่า หรือบางทีหนังสือแนวที่ต้องการก็มีกันหลายแบบ หลายคนเขียนให้เลือก และไม่รู้ว่าจะเลือกเล่มใหนดีกันบ้างไหมครับ

มี Blog ใหม่มาแนะนำครับชื่อ Bookapool เป็น Blog ที่แนะนำหนังสือที่น่าสนใจให้รับทราบกัน เพื่อเป็นตัวช่วยในการเลือกซื้อหนังสือครับ
Blog นี้เป็น Blog ที่ผมกับเพื่อนและพี่ร่วมทำกัน หวังว่าจะช่วยนักอยากอ่านให้ได้อ่านของดีๆ
ตัว Blog เองเพิ่งเปิดได้ไม่นาน หนังสือที่แนะนำจึงยังมีน้อยอยู่ ถ้าใครมีหนังสือในดวงใจอยากจะแนะนำ ก็ขอเชิญชวนนะครับ เพื่อให้คนไทยเราได้อ่านหนังสือกันมากขึ้น...

สำหรับนักอยากเขียน หรือนักอยากแนะนำหนังสือติดต่อมาที่ผมได้โดยตรงหรือจะส่งมาที่ bookapool@hotmail.com ก็ได้ครับ แนวหนังสือไม่จำกัดนะครับ อะไรก็ได้ตามแต่คุณถูกใจ ;-)

ปล เราเองต่างรู้ดีถึงคุณค่าหนังสือว่ามีประโยชน์ ไม่เพียงแต่ตัวเราเท่านั้น แต่ลามไปถึงสังคมรอบข้างเราด้วย ดังนั้นผมคนไทย และคุณก็คนไทย ถ้าเราไม่ทำสิ่งดีๆ ให้แก่กันแล้ว จะไปทำให้ใครหล่ะครับ(กรุณาอ่านด้วยน้ำเสียงจริงจัง)

ปล2 ตอนแรกว่าจะเขียนไออุ่นลาวใต้ตอนใหม่ แต่เขียนนุ่นเขียนนี่ ทำนุ่นทำนี่ อ่านนุ่นอ่านนี่ กินนุ่นกินนี่อยู่ รู้สึกตัวอีกทีหมดวันแล่ว...
หลังจากชักแม่น้ำมาอ้างแล้ว ก็ขอยกยอดไปอาทิตย์หน้านะครับ :-D

ตัวหนังสือคุ้มครอง
ดวง
20070624 1:05

Thursday, June 14, 2007

จินตนาการ-ความสุข-ตัวเรา

รอบสัปดาห์ที่ผ่านมา เกิดอาการตีบตันทางความคิด
เหมือนก๊อกจินตนาการถูกปิดไปอย่างกระทันหัน
ขาดความเพลิดเพลิน ขาดความสุขไปโข...

อาจเพราะทำงานหนักเกินไป จนไม่มีเวลาปล่อยใจให้ได้หยุดพักบ้าง
อาจเพราะหวังในสิ่งที่ไม่แน่นอน จนตัวเองต้องไปกังวลกับความหวังซะเอง
รู้ทั้งรู้ ว่าควรจะคิดอย่างไรถึงจะผ่อนคลาย แต่มือยังคงยึดเหนี่ยวไว้ไม่ยอมปล่อย
ยึดไว้จนมือล้า และใจเริ่มอ่อนแรง...

เมื่อใจอ่อนแอ ทุกข์เล็กทุกข์น้อย ก็ทำร้ายเราได้มากกว่าที่เคย...

คงได้เวลาหลบไปพัก ไปหาจุดสมดุลให้ตัวเองบ้าง
ให้ตัวเองได้ทำความรู้จักกับตัวเองมากขึ้นอีก กว่านี้...

ดวง
20070614 11:44

Sunday, June 3, 2007

ดีหรือบ้า?

"บ้ากับดีห่างกันเพียงเส้นด้ายบางๆ"
เมื่อเราค้นพบอะไรบางอย่างที่มีอิทธิพลกับจิตใจเรา ดุจดังแสงสว่างที่เรารอคอย ดุจดังปลายทางที่เราจินตนาการ หรือบางทีหล่นมากระทบดั่งเม็ดฝนหลงฤดู
เราจะรู้ได้อย่างไรว่าแสงสว่าง หรือปลายทาง หรือเม็ดฝนนั้นเปลี่ยนเราให้เป็นคนดี หรือบ้า?

คนใส่เสื้อกล้าม กางเกงขาสั้นวิ่งอยู่ในห้าง เป็นคนดีหรือคนบ้า?
คนลุกให้ผู้ชายกำยำนั่งบนรถเมล์ เป็นคนดีหรือคนบ้า?
คนสะพายกระเป๋าโดยที่ไม่มีเงินติดตัว ก้าวเท้าเดินไปไกลกว่าพันกิโลเมตร เป็นคนดีหรือคนบ้า?
คนเป็นกษัตริย์ ละทิ้งทรัพย์สมบัติทุกอย่าง แล้วออกไปอดอาหาร เป็นคนดีหรือคนบ้า?

ลูกชายผู้ซึ่งทำตัวเหลวแหลก สำมะเรเทเมา ไม่สนใจใยดีคนรอบข้าง แม่กระทั่งครอบครัว
แต่แล้ววันนึงความคิดทุกอย่างกับตาลปัต เมื่อแม่ที่เขาโมโห ล้มป่วย
เขาวิ่งร้องไห้ เข้าไปในห้างที่ติดกับบ้านเขา กำเงินทั้งหมดที่มี เพื่อซื้อยาประจำตัวของแม่ ที่พึ่งหมดลงพร้อมกับอาการที่กำเริบขึ้นมา
แม่รอเขาอยู่ เขาไม่สามารถปล่อยเวลาที่มีค่าหล่นหายไปสักวินาที แม้กระทั่งเปลี่ยนชุด
เขาสัญญากับตัวเองว่า ถ้าเขาซื้อยามารักษาแม่ทัน "เขาจะทำตัวให้ดีและจะใช้ชีวิตอยู่กับแม่อย่างคุ้มค่า..."
เขาเป็นคนดีหรือคนบ้า?

ในตอนกลางวัน ท่ามกลางอากาศร้อน มลพิษ และรถติดของกรุงเทพฯ
แต่ในรถเมล์สายหนึ่งที่แน่นขนัดไปด้วยคนเบียดเสียดยัดเยียดอยู่นั้น
ผู้หญิงคนหนึ่ง ลุกให้ผู้ชายกำยำนั่งลงบนเก้าอี้ที่ตนเคยเป็นเจ้าของ
เพียงเพราะผู้หญิงคนนั้นมองเห็นสิ่งที่คนอื่นไม่ได้สนใจ ไปกว่าความอ่อนเพลีย และหงุดหงิดกับสภาพแย่ๆรอบตัว
เธอเห็นเลือดที่ไหลอยู่ปลายเท้า พร้อมกับใบหน้าที่ซีดเซียว...
ถ้าผู้ชายคนนี้เป็นอะไรไป คนที่อยู่ข้างหลังเขาจะรู้สึกอย่างไร
และถ้าผู้ชายคนนี้เป็นอะไรไปต่อหน้า โดยที่เธอไม่ได้ช่วย เธอคงจะไม่ให้อภัยตัวเธอเองเลย
เธอพาเขาส่งโรงพยาบาล ในสองป้ายรถเมล์ถัดไป ท่ามกลางคนในรถเมล์ที่ห่วงกับสภาพตัวเอง...
เธอเป็นคนดีหรือคนบ้า?

การเดินจะเป็นขบวนการข้ามให้พ้น...
พ้นความรู้สึกเสียดายในสิ่งที่ยึดติดอยู่
พ้นความรู้สึกเกลียดชังต่อผู้อื่นที่ถูกทำให้เป็นคู่แข่งขัน
พ้นความรู้สึกกลัว ในความไม่แน่นอนต่างๆ ที่มีอยู่รอบตัว
ผมจะใช้การเดินเป็นขบวนการเรียนรู้ที่จะทำลายความรู้สึกเสียดาย รู้สึกกลัวที่มีอยู่ในใจผม
ผมจะเดิน....เดิน.... เดินจนกว่า ความรู้สึกเสียดาย (ความโลภ) ความรู้สึกเกลียด (ความโกรธ) และความรู้สึกกลัว (ความหลง) จะลดน้อยเบาบางลง
เมื่อใดที่ความโลภ-โกรธ-หลง ในใจเบาบางลง เมื่อนั้นผมคงได้สัมผัสกับจินตนาการในยามเยาว์วัย
ข้อความข้างต้นเป็นคำกล่าวของ อ.ประมวล เพ็งจันทร์ ต่อนักศึกษาในคาบสุดท้าย ของวิชาปรัชญา ม.เชียงใหม่
และก่อนลาออกจากราชการหลังจากนั้น เพื่อเดินทางจากเชียงใหม่มาสมุย โดยไม่พกเงินติดตัวเลย...
เขาเป็นคนดีหรือคนบ้า?


เจ้าชายคนหนึ่งทางอินเดีย ผู้ซึ่งละทิ้งทุกอย่าง ทรัพย์สิน เงินทอง พ่อ แม่ ภรรยา และลูก เพื่อค้นหาหนทางดับทุกข์
เขาเป็นคนดีหรือคนบ้า?

เมื่อเราค้นพบสิ่งที่เราค้นหา ที่ผ่านการตรึกตรองด้วยสติแล้วนั้น เราต้องกอดมันไว้ แล้วเดินฝ่ากระแสสังคม เพื่อทำในสิ่งที่เราเชื่อ ก็เท่านั้นเอง...
เอ...แล้วนี่ผมเป็นคนดีหรือคนบ้ากันหล่ะ?

ดวง
20070502 5:13

Monday, May 28, 2007

ไออุ่นลาวใต้ ตอน 8

อุบล#3

การได้รู้ประวัติศาสตร์ น่าจะทำให้เที่ยวในเมืองนั้นได้สนุกขึ้น ผมเชื่ออย่างนั้นครับ
ดังนั้นที่ๆสามารถตอบโจทย์ได้อย่างรวดเร็วที่สุด ตามประสาคนเมืองที่ต้องการอะไรรวดเร็ว ฉาบฉวย อย่างผม
พิพิทธภัณฑ์ประจำจังหวัดคงเป็นคำตอบ...

หลังจากกินข้าวเช้าและโทรไปยืนยันความมีชีวิตอยู่กับแม่ พร้อมกับยังคงมุสาอยู่อย่างต่อเนื่องว่าเพื่อนๆนั้น ยืนอยู่ข้างๆ
ทั้งที่ความจริงจะมองไปเห็นเพียงชายหนุ่มที่นั่งมองดูสายน้ำมูลอยู่อย่างเปลี่ยวเหงาก็ตาม
ผมเข้าใจว่าแม่คงไม่มีโอกาสได้อ่านเรื่องราวที่เขียนนี้แน่นอน แต่ลูกคนนี้อยากจะขอโทษที่มุสาออกไป...
และถ้าขอโทษล่วงหน้าได้เหมือนการฝากเงินเข้าธนาคาร ก็อยากจะขอโทษฝากเพิ่มเข้าไปอีกสักสองสามครั้ง แหะๆ

ผมกางแผนที่หาทางไปพิพิทธภัณฑ์ ได้ความว่าเดินไปไม่ไกลก็จะเจอ
เรื่องเดินนี่ของถนัดของผมอยู่แล้วครับ ถ้าอากาศเป็นใจ และการเดินทางนั้นไม่ต้องเร่งรีบ ผมมักจะไม่ปล่อยโอกาสที่จะเดินอยู่เสมอ...

ที่อุบลเช่นกัน อากาศกำลังเย็นสบายและการได้เดินชมเมืองอุบลไปเรื่อยๆ คงจะมีความสุขไม่ใช่น้อย ผมเดินชมเมืองไปเรื่อยๆสักพักก็ถึงพิพิทธภัณฑ์ครับ แต่...
ผมได้แต่ยืนนิ่งอยู่ข้างหน้า โดยมือซ้ายถือกล้องถ่ายรูป มือขวาถือหนังสือท่องเที่ยว ปากขมุบขมิบๆ จับใจความได้ว่า เป็นไปได้ไงวะๆๆๆๆๆๆ
พิพิทธภัณฑ์มันปิดครับ... วันอังคารเนี่ยนะ ผมคิดในใจ เป็นเรื่องเหนือความคาดหมายมาก
ผมรีบเปิดหนังสือท่องเที่ยวเช็คดูอีกทีเพื่อความแน่ใจ ได้รับการยืนยันว่าพิพิทธภัณฑ์ปิดวันจันทร์กับอังคารจริงๆ ที่จริงก่อนหน้าที่จะเดินทางมา ผมมีความมั่นใจเต็มร้อยว่าวันอังคารผมจะได้เข้าพิพิทธภัณฑ์แน่นอน เป็นความมั่นใจที่ปราศจากการตรวจสอบข้อมูลครับ ก็พิพิทธภัณฑ์บ้าที่ใหนจะปิดวันอังคาร...

ประโยคคำถามวิ่งเข้ามาในหัวมากมาย.. ทำไมปิดวันธรรมดาไม่ปิดเสาร์ อาทิตย์? แล้วทำไมเลือกปิดวันจันทร์ อังคาร?
สถานที่ราชการอื่นยังปิดวันหยุดสุดสัปดาห์ ที่นี่ไม่ใช่สถานที่ราชการหรือ?
ขณะคิดตัวยังยืนนิ่งมือซ้ายยังถือกล้องถ่ายรูป มือขวายังคงถือหนังสือท่องเที่ยว แต่ปากเลิกขมุบขมิบแล้ว(กลัวยามของพิพิทธภัณฑ์จะเดินมาล็อกคอหาว่าเล่นของใส่แก) อยู่หน้าป้ายที่เขียนว่า "วันนี้พิพิทธภัณฑ์ปิด"

คิดสักพักผมก็ถึงบางอ้อ นั่นสิ... ถ้าปิดเสาร์ อาทิตย์ พ่อแม่จะจูงลูกเล็กเด็กแดง มาศึกษาประวัติศาสตร์ในวันหยุดพักผ่อนก็ไม่ได้ และนักท่องเที่ยวที่ส่วนใหญ่ก็มักจะมาช่วงสุดสัปดาห์กันก็เข้าไม่ได้ ซึ่งไอ้นักท่องเที่ยวที่มาแบบผิดปกติอย่างผมเนี่ย จะเข้าไม่ได้ก็คงไม่เป็นไร เพราะเขาต้องรักษาคนหมู่มากไว้ก่อน จึงไม่ใช่พิพิทธภัณฑ์บ้า แต่เป็นผมเองต่างหากที่บ้าที่คิดว่าพิพิทธภัณฑ์จะปิดเสาร์ อาทิตย์ เหมือนสถานที่ราชการอื่นๆ หรือธนาคาร -_-''

ถ้าปิดวันจันทร์กับอังคาร ก็หมายความว่าผมหมดสิทธิ์เข้าแน่นอน เพราะตามกำหนดการพรุ่งนี้ผมจะต้องข้ามไปลาวแต่เช้า ถ้าจะให้ต้องเลื่อนข้ามไปลาวในวันถัดไป คงไม่ดีแน่เพราะผมจองตัวรถกลับไว้แล้ว ทำให้ผมจะต้องหั่นวันที่อยู่ลาวให้น้อยลง ลามไปถึงกำหนดการเที่ยวลาวที่วางไว้ต้องปรับใหม่อีก ซ้ำช่วงปีใหม่เลื่อนตั๋วรถกลับได้ง่ายๆซะที่ใหน

ปิ๊ง! แต่ใช่ว่าไม่มีทางออก... เพราะยังไงผมต้องกลับมาที่อุบลอีกทีอยู่ดี ตามแผนที่วางไว้ผมจะกลับมาประมาณวันอาทิตย์ ซึ่งน่าจะมีเวลาให้ได้เข้ามาเยี่ยมชม... ผมยืนยิ้มด้วยความรู้สึกโชคดีที่สามารถเก็บพิพิทธภัณฑ์เอาไว้อยู่ในแผนได้ โดยที่ตัวเองไม่รู้หรอกว่าเมื่อกลับมาวันอาทิตย์แล้ว พิพิทธภัณฑ์มันปิดเนื่องจากวันหยุดปีใหม่!!!

หลังจากหาทางออกได้แล้ว(โดยที่ไม่รู้หรอกว่ามันไม่ใช่ทางออกแต่เป็นทางตัน)ผมก็เดินไปวัดศรีอุบลต่อ ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากพิพิทธภัณฑ์นัก วัดนี้จะมีพระอุโบสถที่เป็นสถาปัตยกรรมแบบเดียวกับวัดเบญจมบพิตรในกรุงเทพฯครับ ภายในพระอุโบสถประดิษฐานพระแก้วบุษราคัม พระคู่บ้านคู่เมือง ซึ่งอัญเชิญมาจากกรุงศรีสัตนาคนหุต ประเทศลาว



ผมเข้าใจเอาเองว่าวัดนี้น่าจะเป็นวัดประจำจังหวัดอุบล โดยดูจากชื่อวัด และความสำคัญของพระที่ประดิษฐานอยู่ แต่เมื่อเข้ามาในวัดแล้ว ต้องพบกับความแปลกใจ ที่ไม่เจอนักท่องเที่ยวเลย แม้กระทั่งชาวบ้านเองนับได้คงไม่เกินความสามารถของนิ้วทั้งสองมือเป็นแน่
แต่ก็ดีเหมือนกัน เพราะผมมักไม่ชอบไปใหนมาใหนที่มีคนเยอะๆเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว...
ไหว้พระ ถ่ายรูปโบสถ์ ถ่ายพระพุทธรูป ถ่ายพระสงฆ์ ญาติโยม ลามไปจนถึงรูปหมา จนเป็นที่สาแก่ใจ ก็ออกมานั่งจดบันทึกตรงโต๊ะม้าหินชานวัด ภายใต้บรรยากาศที่ สงบ เงียบ เย็นสบาย
เที่ยวครั้งนี้ผมพกสมุดไปเล่มนึงครับ เพื่อที่จะได้มาระลึกถึงความหลังได้ว่าตัวเองไปทำอะไรมาบ้าง ประทับใจอะไรบ้าง ขณะนั้นรู้สึกอย่างไร มีความคิดอย่างไร
ข้อความในใจที่ผมเลือกที่จะเขียนเก็บลงไปนั้น ทั้งหมดจะเป็นความรู้สึกดีๆครับ ส่วนความรู้สึกไม่ดีที่พบเจอมาบ้างนั้น ผมขอทิ้งไว้ให้สายลมพัดพาไป...

โอกาสที่ได้นั่งจดบันทึก สำรวจสิ่งรอบๆกาย คงเป็นข้อดีของการมาเที่ยวคนเดียว ที่ให้อิสระกับเราได้เต็มที่ อยากจะดื่มด่ำหรือใช้เวลากับอะไร ก็สามารถทำได้ตามที่ใจต้องการ ต่างจากการมาเที่ยวเป็นกลุ่ม ที่จะต้องรอไปพร้อมกันเสมอ จึงทำให้เวลาต้องการทำอะไรต้องคิดถึงคนหมู่มากไว้ก่อน
อย่างว่าครับเมื่อได้รับสิ่งดีๆมา ก็ต้องมีอะไรแลกเปลี่ยน ซึ่งก็คือความเหงาที่ถูกยัดเยียดเข้ามาโดยไม่ได้ตั้งใจ
แฮ่ม... แต่ว่ายกแรกถือผมตั้งการ์ดต่อยเก็บคะแนนได้ดีกว่าครับ เพราะยังปฎิเสธไม่รับความเหงาเข้ามาอยู่ในอ้อมอกได้ :-)



จดบันทึกเสร็จ ผมจำต้องหาสถานที่เที่ยวใหม่แทนพิพิทธภัณฑ์ที่พลาดไป เปิดดูแหล่งที่เที่ยวสักพัก ก็ได้เป้าหมายใหม่เป็นวัดหนองบัว เป็นวัดที่มีเจดีย์พุทธคยาจำลองอยู่ ถือได้ว่าเป็นหนึ่งในวัดที่มีชื่อของทางจังหวัด ส่วนอีกที่หนึ่งนั้นเป็นแหล่งโบราณคดีวัดก้านเหลือง ที่นี่เป็นที่ๆมีการขุดพบเครื่องปั้นดินเผาสมัยโบราณอยู่ หวังว่าคงตอบความต้องการของผมแทนที่พิพิทธภัณฑ์ได้ไม่มากก็น้อย
สองที่นี้อยู่ชาญเมืองของอุบลครับ ซึ่งดูๆแล้วน่าจะพอไหว และที่สำคัญ!! ถ้าหลงก็น่าจะหาทางกลับมาได้ไม่ยากเย็นเท่าไร...
เอาหล่ะ! พร้อมแล้วเดินต่อดีกว่า...

ดวง
20070528 10:35

Saturday, May 12, 2007

เจ็ดวันต่าง...แต่มุมเดิม#7

เรื่องของบุญชู...

เมื่อทุกคนถึงทางแยกจะต้องเลือก แต่ละคนก็เลือกเส้นทางที่ตัวเองคิดว่าดีที่สุด
บุญชูก็เช่นกัน...
แม้ว่าในบางครั้งเราก็อยากจะกลับไปลองดูอีกทางว่าจะเป็นอย่างไร
แต่คงทำได้เพียงกระพริบตาปริบๆ...
ก็ในเมื่อตัวเราไม่สามารถทนกับแรงฉุดกระชากของเวลา เพื่อให้อยู่กับปัจจุบันได้
เราจึงต้องปล่อยให้ทางที่ไม่ได้เลือกเดินเป็นเพียงอดีต...

ยามเย็น...บุญชูนั่งกอดเขา อยู่ริมแม่น้ำ มองสายน้ำที่ทอดยาว
วันนี้เป็นวันหยุด เพื่อนสนิทเลยชวนเขาออกมาเดินเล่นกันในสวนสาธารณะ
สวนสาธารณะในวันหยุดจะมีการแสดงของกลุ่มต่างๆ เข้ามาสร้างความบันเทิงให้กับผู้ที่เข้ามาพักผ่อนอยู่มากมาย
แต่เขาเลือกที่จะนั่งดูสายน้ำไหล แทนที่จะไปดูการแสดงที่จัดในวันหยุดของสวนแห่งนี้เหมือนเพื่อนสนิท

"นั่งคิดอะไรอยู่เหรอ" เพื่อนสนิทถาม หลังจากกลับมาจากการดูแสดงและนั่งลงข้างๆ

เรื่องเดิมหน่ะแหล่ะ... บุญชูตอบ แต่ตายังคงมองไปยังสายน้ำที่ยังไหลอย่างไม่มีทางไหลกลับไปยังสิ่งที่มันเคยมาได้
เหมือนเวลาที่ไหลผ่านเราไปโดยที่เราไม่รู้ตัว...

"นายจะกังวลอะไรกับอดีตหล่ะ ชีวิตเราต้องก้าวไปในอนาคตนะ"
เพื่อนสนิทตบบ่าบุญชู แล้วชี้นิ้วมือไปข้างหน้า

เรารู้หว่ะ...
เรารู้ถึงขั้นว่า ตอนที่เราเลือกที่จะตัดสินใจอย่างนี้
ในอนาคตเราอาจจะต้องมานั่งเศร้ารอคนมาตบบ่าแล้วพูดอย่างนายเนี่ยแหล่ะ...
นายรู้ไม๊...ตอนคบกับเธอคนนั้น เรารู้สึกดีมากๆ เราไม่เคยรู้สึกกับใครอย่างนี้มาก่อนจริงๆ
แต่เราไม่สามารถจะบอกความรู้สึกที่เรามีกับเธอได้มากเท่าที่เราต้องการ
อย่างมากเราก็เพียงแค่บอกเค้าว่า "เราคิดถึง"
เพราะเรารู้อยู่แก่ใจว่าเธอมีแฟนอยู่แล้ว...

"ทำไมนายต้องมาแคร์กับแฟนเธอด้วย นี่มันยุคอะไรแล้ว
คนทุกคนมีสิทธิ์เลือกคนที่ดีที่สุดสำหรับตัวเอง
ถ้านายดีกว่าแฟนเธอ แล้วเธอเลือกนายก็แฟร์ดีอยู่แล้วนี่" เพื่อนสนิทถาม

เราไม่ได้แคร์แฟนเธอ เราแคร์เธอ เราแคร์คนที่เรารัก....
เราแคร์ความรู้สึกของคนที่เรารัก...
เราว่า ชีวิตคนมันไม่เหมือนขับรถ ที่สามารถเลือกว่าจะเลี้ยวซ้าย เลี้ยวขวาได้ตามต้องการ
มันยังมีสิ่งที่เรียกว่าความรู้สึก ความสัมพันธ์อยู่
มันคงเป็นสถานการณ์ที่ลำบากมากสำหรับเธอ ถ้ามีเราเข้าไปเกี่ยวข้องด้วย
เราไม่อยากให้เธอรู้สึกว่าเธอเป็นคนทำให้แฟนที่กำลังคบกันเสียใจ และให้เธอรู้สึกว่าเธอเป็นคนผิด
มันจะดีกว่าถ้าจะเลิก ก็เป็นเหตุผลของคนสองคน ไม่ใช่สาม...
อย่างน้อยความสัมพันธ์ที่เหลือก็คงพอจะเป็นเพื่อนกันได้...
และเมื่อเราตัดสินใจที่จะรักษาความรู้สึกเธอ ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับเธอ
อนาคต เราก็คงต้องมาดูแลใจตัวเองเช่นกัน...

"อืม...เราเข้าใจ คนแต่ละคนก็มีเหตุผลกันไปคนละแบบ แต่นายก็อย่าไปเครียดมันนักเลย
ถ้ามีอะไรให้เราช่วยก็บอกละกัน"

ช่วยเหรอ... อืม...เออนี่ถามหน่อยเถอะ บุญชูขยับตัวและหันหน้าไปถาม
"อะไรเหรอ??" เพื่อนสนิทมองหน้าอย่างสงสัย
คือตัวนายก็อ้วนๆ หน้าตาก็ออกไปทางญี่ปุ่นอยู่
มือกับเท้านายก็ป้อมๆ แถมเสื้อกับกางเกงที่ใส่ก็เป็นสีน้ำเงินตลอดอีก
ลิ้นชักบ้านนายมีไทม์แมชชีนป่าว??...









ปล. จบแล้วครับ เจ็ดวันต่าง...แต่มุมเดิม ผมพยายามให้มีเรื่องราวในแบบที่ต่างๆกันในแต่ละวัน
คงพออ่านกันได้นะครับ...


ดวง
20070513 12:44

Friday, May 11, 2007

เจ็ดวันต่าง...แต่มุมเดิม#6

วันพฤหัส

นานๆ ได้ทำงานเลยเที่ยงคืนบ้างก็ดีเหมือนกัน...
สงบ...มีสมาธิดี
เสียอย่างเดียว...ต้องตื่นแต่เช้ามาทำงานต่อนี่สิ
ฮ้าาาวววววว...

ดวง
20070511 10:37

Wednesday, May 9, 2007

เจ็ดวันต่าง...แต่มุมเดิม#5

วันพุธ

บ่อยครั้ง...เมื่อยังเด็ก
ผมมักชอบทอดใจไปเรื่อยๆ ยามฝนตก
จ้องมองหยดน้ำจากฟากฟ้ากลับสู่ผสุธาที่มันเคยจาก
ให้ผิวกายได้สัมผัสความชุ่มฉ่ำของละอองน้ำ
พร้อมสูดไอดินเคล้ากลิ่นต้นไม้ต้นหญ้า

ปัจจุบัน...หลายครั้ง หลายครา
ความรู้สึกดีๆเมื่อยังเยาว์ ถูกบดบังด้วยความหงุดหงิดจากสายฝน
ที่ทำให้เดินทางไม่สะดวกโดยไม่รู้ตัว...

เหตุใดนะ ถึงเป็นอย่างนี้...

เรามีทางเลือกที่จะเผชิญกับสิ่งที่เกิดขึ้นรอบตัวเราเสมอ
คงจะมีเพียงเราเท่านั้นที่จะต้องตัดสินใจ
ว่าจะยิ้มต้อนรับมัน เพื่ออยู่อย่างมิตร หรือจะเบือนหน้าหนี...

ดวง
20070509 11:32

Tuesday, May 8, 2007

เจ็ดวันต่าง...แต่มุมเดิม#4

วันอังคาร

"กดหนูที ก่อนจากไป"
ผมไม่แน่ใจว่าบทความนี้ จะต้องมีป้าย น หนู และมีเลข 18 อยู่ข้างใต้
เหมือนการกำหนดเรทรายการทีวีหรือไม่ :-)

ผมเจอข้อความนี้เหนือปุ่มกริ่งบนรถเมล์ครับ เล่นเอายิ้มเลยเหมือนกัน
เห็นผมอย่างนี้ ผมไม่เคยไม่ทันมุขสัปดน คำผวน หรือใต้เข็มขัดเลยนะครับ
ไม่แน่ใจว่าตามที่ทันอย่างนี้เป็นเพราะสังคม หรือพรสวรรค์ (HA HA)
หลายคนอาจแย้ง พรสวรรค์นะ ไม่ใช่ รงค์ วงศ์สวรรค์ :-)
(ตามไม่ทันไปหามติชนสุดสับดาห์มาอ่านนะครับ HA HA)

"ไทยนี้รักสงบ แต่ถึงรบไม่ขลาด"
ประโยคข้างบนเป็นส่วนหนึ่งของเพลงชาติ ที่อาจจะจริง
แต่ผมว่าถ้าเปลี่ยนจากรักสงบ เป็นรักสนุก อาจจะจริงมากกว่า HA HA

คงไม่มีใครกล้าเถียงว่าคนไทยเรารักสนุกเสียจริ๊งๆ
เพราะคงไม่มีประเทศใหนมั๊งครับ ที่นักแสดงตลกมีมากเสียจนรวมตัวเป็นสมาคมตลกได้
ผมเคยจินตนาการว่าสมาคมนี้ สมาชิกคงไม่ได้ทำอะไร ขำกันเองก็หมดวันแล้ว ก็มีแต่ตลกนี่ครับ... :-)
นี่ยังไม่นับสิ่งบันเทิงมหัศจรรย์ของโลกอย่างขายหัวเราะนะครับ
ที่มียอดขายดีซะจน มาทำเป็นอนิเมชั่นได้
แล้วมันมีประเทศใหนบ้างที่มีหนังสือสำหรับเอาไว้ขำอย่างเดียวอย่างเรา

คงไม่เฉพาะแต่เพียงนักแสดงตลกเท่านั้นที่ตลก คนไทยส่วนใหญ่ก็มีนิสัยตลกนะครับ
สังเกตง่ายๆ ถ้าตรงใหนมีคนไทยอยู่เกินสามคน ผมให้เวลา 1 นาทีไม่เกิน มันต้องมีเสียงหัวเราะครับ
แล้วไอ้นิสัยตลกของคนไทยเนี่ย มันก็ไปอยู่ทุกสถาณการณ์
เดินทางมันก็ตลก ประชุมมันก็ตลก กินข้าวมันก็ตลก(แดก)

ถ้ามีการจัดอันดับประเทศที่มีอารมณ์ขัน ไม่แคล้วเราคงเป็นหนึ่งในใต้หล้า
แค่เพียงอารมณ์ขันเราอย่างเดียว ก็ดันอันดับครีเอทีฟโฆษณาประเทศเราไปอยู่อันดับห้าของโลกแล้ว
แต่ที่ได้แค่ที่ห้าเนี่ย ไม่ใช่ว่าเราต้องการอันดับที่บ่งบอกว่าเรารักการหัวเราะเสียจริงนะครับ
แต่เพราะมีตัวถ่วงเป็นปัจจัยที่ฝรั่งกรรมการมันตามมุขเราไม่ทันต่างหาก
ถ้าทันหล่ะเอ๊งเอ๊ย... ขำกันหัวแดง หัวทองสั่นกันดิ๊กๆๆแล้ว HA HA

แล้วของฝรั่งมันไม่ขำหรือไง??...
อู้ยยยยย...จะขำอะไรกันคู้นนนนน...
เคยอ่านโจ๊กฝรั่งไม๊ครับ?
100 มุข อย่างมากก็จะมีเสียงลอดออกจากปากดัง แหะๆๆ สักสองมุข
เทียบกันไม่ได้หรอกครับ มันห่างชั้นกันเกินปายย :-)

อย่างที่รู้...เป็นคนชอบขัดใจ กำลังขำกันได้ที่ ผมก็ขอตัดบทเพียงเท่านี้
แต่ว่าแล้วก็ขออีก หน่อย... (ไม่ต้องคิดว่าหน่อยนี่ใคร หน่อยเพื่อนทุกคนครับ เหมือนเพื่อนตุ้มหน่ะ...)
คือตอนจะลงรถเมล์ว่าจะสนองพระเดชพระคุณคนขับ โดยการกดหนูซะหน่อย (รู้แล้วนะครับว่าหน่อยเพื่อนทุกคน)
โชคไม่อำนวย กดไม่ทัน โดนคนแซงกดหนูไปซะก่อน ... ของเค้าดีจริงๆ HA HA


ปล. ข้อความตัวอย่างหลายเรื่องในบทความนี้ เป็นของจริงบ้าง เล่นบ้าง
โปรดใช้วิจรณญาณในการชม ห้ามชมเกินวันละสองครั้ง
โปรดอ่านคำเตือนบนฉลากก่อนชมทุกครั้ง HA HA <- แหม.. ชอบจริงๆเลย อิอิ

ดวง
20070508 10:38

Monday, May 7, 2007

เจ็ดวันต่าง...แต่มุมเดิม#3

วันจันทร์

ไม่บ่อยครั้งนักที่สมาชิกครอบครัวผมจะกินข้าวด้วยกันพร้อมเพรียง
ทั้งๆที่ก่อนหน้านี้เรามักอยู่ด้วยกันพร้อมหน้าพร้อมตาบนโต๊ะอาหารเสมอ
กินไป...คุยไป แล้วแต่ว่าใครมีเรื่องน่าสนใจอะไรมาเล่าบนโต๊ะอาหาร

หลายๆครั้งที่กับข้าวเหมือนเดิม รสชาติที่คุ้นเคย
แต่ให้ความรู้สึกที่ดีกว่าเดิม เพราะเรากินกันไป หัวเราะกันไป
หลายๆครั้งที่กับข้าวเหมือนเดิม รสชาติที่คุ้นเคย
แต่เราอยากจะรีบกินให้เสร็จ เพราะเกิดสถาณการณ์ตึงเครียด...
สิ่งต่างๆ เกิดขึ้นมากมายบนโต๊ะอาหารตลอดเวลา 20 กว่าปี
จะเรียกได้ว่าโต๊ะอาหารเป็นอุปกรณ์ที่มีความสำคัญที่สุดของครอบครัวผม ก็คงจะไม่ผิดนัก
จะเรียกได้ว่าผมเป็นผมถึงทุกวันนี้ เพราะมีโต๊ะอาหารเป็นสื่อกลางความอบอุ่นกับครอบครัวก็คงไม่ผิดเช่นกัน

แต่...ความสำคัญของโต๊ะอาหาร เริ่มซวนเซหลังจากผมต้องไปอยู่หอตอนเรียนมหาลัย ต่อเนื่องมาจนถึงผมมีงานทำ
จำนวนวันที่ผมเลิกงานกลับมาทันกินข้าวเย็นด้วยกันกับครอบครัวนั้น นิ้วมือข้างเดียวก็สามารถนับได้
แต่จำนวนวันที่ผมทานข้าวเย็นกลับเพื่อนฝูงนั้น คงเหลือบ่ากว่าแรงของผมเป็นแน่

ความสำคัญของโต๊ะอาหารทรุดหนักลงไปอีก เมื่อพี่สาวผมแต่งงานออกเรือนไป...
ซึ่งตอนนี้คงเหลือเพียงสุดสัปดาห์บางวันเท่านั้นที่เราจะอยู่กินกันพร้อมหน้าเหมือนวันวาน

จากแต่ก่อนที่ผมไม่เคยเห็นความสำคัญ ตอนนี้ผมกลับรู้สึกดีมากๆ ที่เวลากินเงยหน้าขึ้นมาก็เจอภาพที่คุ้นเคย
ทั้งยังรู้สึกโชคดี ที่ผมได้รู้ถึงความสำคัญใกล้ตัวในตอนที่มันยังไม่สายเกินไป...

ปกติผมเป็นคนชอบคิด ชอบหาเหตุผล ชอบคาดการณ์ไปยังอนาคต
แต่เรื่องนี้เป็นเรื่องเดียวที่ผมไม่อยากคิด ไม่อยากรู้ ไม่อยากมองไปยังอนาคตข้างหน้า
จะหาว่าผมขี้ขลาด หรือไม่กล้ายอมรับความจริงก็ยอม...

วันนี้เป็นวันสำคัญ ไม่ใช่วันหยุดชดเชยวันฉัตร
แต่เป็นวันที่แม่บอกว่าจะทำกับข้าวที่พวกเราอยากจะกิน เพราะพรุ่งนี้เป็นวันเกิดแม่
ทำไมฉลองวันเกิดแม่ แต่แม่ต้องมาทำกับข้าวให้เรากิน...
ลูกๆมองหน้ากันอย่างเข้าใจ ไม่มีใครถาม
เรารู้ว่าแม่มักไม่ชอบที่จะให้เราเสียสตางค์ ไปซื้อของมาให้กิน
บางครั้งเราไม่ยอม ซึ่งแม่ก็จะมีหลายๆเหตุผลขึ้นมาแย้ง
ที่ทุกๆเหตุผลมีจุดประสงค์เดียวคือ ไม่อยากให้ลูกลำบาก...

ดวง
20070507 21:25

Sunday, May 6, 2007

เจ็ดวันต่าง...แต่มุมเดิม#2

วันอาทิตย์

แวะไปงานบวชก้องเพื่อนสมัยมัธยม ตอนช่วงเช้า เพื่อนร่วมห้องติดธุระกันหลาย
สุดท้ายเหลืออยู่ 2 ผม กับ เกียรติ์...

นั่งคุยกับเกียรติ์ จนเหมือนไม่ได้มางานบวช
แต่เป็นรายการทอร์กโชว์ โดยสลับกันเป็นพิธีกร
คุยกันตั้งแต่ สารทุกสุขดิบ การงาน ชีวิตคู่ ความหวัง ความฝัน ลามไปถึงแผนการในอนาคต
มีพักเบรกโฆษณาเป็นจังหว่ะ สปอนเซอร์คือความเงียบ...

เกียรติ์เป็นคนใจเย็นมาก คุยด้วยแล้วให้ความรู้สึกเหมือนไม่ได้คุยกันในวัด
แต่เป็นทอร์กโชว์บนหาดทรายริมทะเล ที่ไม่มีเก้าอี้สำหรับพิธีกร แต่เป็นเปลผ้าใบ

แม้ว่าเราจะคุยกันหลายเรื่อง แต่สิ่งที่ผมสัมผัสได้เป็นความสงบในบทสนทนา
การได้คุยกันในช่วงวัยปัจจุบัน
ทำให้ผมได้มองย้อนกลับไปยังครั้งก่อนที่เรายังเป็นเด็กเสื้อขาว กางเกงดำขาสั้นอย่างไม่ได้ตั้งใจ
ความมีสีสัน ความคึกคะนองในบทสนทนาตอนนั้น สะท้อนตัวเราอะไรในเวลานี้...

ครั้งเมื่อชีวิตถึงทางแยกที่ต้องเลือกเดิน...
เราต่างเลือกเดินไปในทางแยกที่คิดว่าจะเป็นจุดหมายของอนาคตต่างๆกัน
เราต่างเจอสิ่งรอบข้างรายทางให้เราได้พบปะสะสมไว้เป็นประสบการณ์
และเปลี่ยนเราให้เป็นเราในวันนี้...
แต่ทางที่เลือกเดินของแต่ละคน ที่ไม่ว่าจะเจออีกสักกี่ทางแยก
มันต้องมีบ้าง ที่ทางแยกนั้นจะเป็นจุดตัดของทางเดินของคนสองคนให้พบเจอกันอีก
ให้เราได้ถามไถ่ ถึงเส้นทางของกันและกัน
และเมื่อถึงเวลา...เราก็ต้องเดินไปตามเส้นทางที่เราเลือกต่อไป...


ดวง
20070507 12:12

Saturday, May 5, 2007

เจ็ดวันต่าง...แต่มุมเดิม #1

หลายคนบอก เมื่อไหร่ไออุ่นจะออก...
เป็นคนชอบขัดใจ ยังไม่ออกครับตอนนี้
มีของใหม่ โปรโมชั่นใหม่
"เจ็ดวันต่าง...แต่มุมเดิม"
คิดนานแล้ว แต่นึกชื่อออกเมื่อตะกี๊
อยากเล่น อยากลอง
จากวันเสาร์ ถึงวันศุกร์ เจ็ดวัน หนึ่งสัปดาห์
เขียนทุกวัน ได้หรือไม่...ไม่รู้
รู้อย่างเดียว อยากลอง อยากเล่น

วันเสาร์

แวะไปตากลมเย็นที่หอสมุดแห่งชาติ อ่านหนังสือเรื่อยเปื่อยเหมือนทุกครั้ง
ธรรมดาชีวิต อ่านตั้งนาน ฝนไม่ตก มาตกตอนกลับ
เปียก... ไม่ได้พกร่มมา ประมาทอากาศเมืองไทย
ตอนออกจากบ้านอากาศแจ่มใสมาก แม่ยังพูดสงสัยพายุออกไปแล้ว
แต่เปียกขนาดนี้ สงสัยพายุจะรีเทิร์นได้...

หาที่หลบฝนได้ที่ร้านนายอินทร์ เดินเข้าไปดูหนังสือ ตั้งใจว่าจะไม่ซื้อ
ของเก่างานหนังสือ ยังไม่ได้อ่านอีกเยอะ
ฝนหยุด... ออกมา ตกใจ! ที่มือมีหนังสือหนึ่งเล่ม
พร้อมกับตังค์หายจากกระเป๋าไปร้อยกว่าๆ...
เสร็จร้านหนังสืออีกแล่ว...

ดวง

หอสมุดแห่งชาติ

หอสมุดแห่งชาติ

ผมเป็นคนแพ้อากาศร้อนครับ ไม่ใช่ลักษณะการแพ้แบบที่มีอาการผดผื่น หรืออาการคันแต่อย่างใด
แต่เป็นอาการที่ไม่สามารถตั้งสมาธิในอยู่กับสิ่งที่ทำ ณ ขณะนั้นได้เลย ดั่งคนมีสมาธิสั้น ทำสิ่งๆหนึ่งได้พักนึง แล้วก็ต้องเปลี่ยนไปทำอย่างอื่น และมีอาการเดินไปเดินมาเพื่อที่จะหาสิ่งใหม่ทำเสมอหลังจากที่จับสิ่งที่ทำก่อนหน้าได้ไม่นาน
สุดท้ายแล้ว ก็มางีบหลับโดยมีพัดลมเป่าตัวอยู่ข้างๆ (-_- ) zZZ

บ้านผมมีนโยบายอยู่ว่า ห้ามเปิดแอร์ตอนกลางวันครับ เพื่อเป็นการประหยัดไฟ ประหยัดค่าใช้จ่ายภายในบ้าน ดังนั้นช่วงหน้าร้อนอย่างนี้ ผมจึงมีอาการสมาธิสั้นทุกเสาร์ อาทิตย์ ที่ไม่ได้ไปทำงาน
ทนไม่ไหวครับ เมื่อเกิดอาการอย่างนี้ ผมรู้สึกว่าใจไม่สงบเอามากๆ จิตใจมันวุ่นวายอยู่ตลอด และด้วยความที่ผมไม่ใช่คนที่สามารถควบคุมสมาธิตัวเองได้เก่งถึงขนาดที่ไม่ยั่นกับทุกสภาวะอากาศ แม้ว่าจะปรารถนาจะทำได้ก็ตาม ดังนั้นเมื่อถึงเสาร์ อาทิตย์ ถ้าไม่จำเป็นต้องอยู่บ้านจริงๆ ผมมักจะหาสถานที่ๆอากาศเย็นๆ สงบๆ ไปสิงสถิตย์อยู่เสมอ และที่ๆนิยมฮอตฮิตของผมอยู่ตอนนี้ก็คือ หอสมุดแห่งชาติครับ


ผมเชื่อว่าหลายๆคนคงได้มีประสบการณ์ไปเยี่ยมไปเยือนหอสมุดแห่งชาติมาบ้างไม่มากก็น้อย ผมก็เช่นกันครับ
เมื่อตอนผมเรียนประถมอยู่นั้น ผมได้มีโอกาศไปใช้บริการหอสมุดแห่งชาติอยู่บ้าง เพื่อหาข้อมูลทำรายงานส่งครู แม้ว่าตอนเด็กของผมนั้นจัดได้ว่าเป็นเด็กที่ขี้เกียจเอามากๆ ไม่เคยอ่านหนังสือเลย ไม่ว่าที่บ้านจะหาวิธีให้อ่านหนังสืออย่างไรก็ไม่ยอม จำได้ว่าแม่เป็นห่วงมาก กลัวว่าโตขึ้นจะไม่เป็นโล้เป็นพาย เพราะวันๆมันเอาแต่นอนเลี้อยอยู่หน้าจอทีวี ถ้าไม่อยู่หน้าจอทีวีก็แอบไปเล่นเกมส์ ตีปิงปอง แทงสนุกเกอร์ไปเรื่อยเปื่อย ด้วยความโชคดีที่เป็นคนหัวดีพอควร กอรปกับตอนเรียนจะตั้งใจฟังครูสอนในห้องอยู่เสมอ แต่เป็นการตั้งใจฟังในสภาวะบังคับนะครับ เพราะเนื่องจากตอนเด็กนั้นผมตัวค่อนข้างเล็ก ถ้าจัดอันดับแล้วถือว่าเล็กเป็นอันดับสองของห้องเลยทีเดียว ครูจึงมักให้ที่ประจำเป็นโต๊ะแถวหน้าๆอยู่เป็นประจำ จึงทำให้ต้องตั้งใจฟังครูอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เลยยังผลให้เกรดที่ออกมานั้นน่าเกลียดแบบพอให้อภัยได้...
ยังจำได้อีกว่าตอนเรียนประถมนั้นผมชอบช่วงเวลาสอบมากที่สุด เพราะไม่ต้องเรียน ซ้ำยังสบายอีก เข้าห้องไปก็แค่กาข้อสอบ เลิกก็เร็ว ไม่เคยคิดว่าอีกไม่กี่ปีถัดมาช่วงสอบจะกลายเป็นงานประเพณีเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยวไปได้ ต้องอ่านหนังสือดั่งคนมีองค์ลง และต้องแสดงอิทธฤิทธิ์ด้วยการเดินฝ่าทะเลเพลิง ถ้าองค์ประทับไม่แน่นแล้วมีสิทธิ์โดนไฟคลอกแน่นอน...
"จากเด็กที่ไม่ยอมอ่านหนังสือ กลายเป็นหนอนหนังสือตัวเล็กๆไปได้ ถ้ามีจังหว่ะดีๆจะเล่าให้ฟังครับ"

ผมมีโอกาสได้ไปหอสมุดอีกทีตอนช่วงหน้าฝนปีที่แล้วครับเพราะต้องหาที่อ่านหนังสือเตรียมตัวสอบ ซึ่งหลังจากสอบเสร็จก็ไม่ได้ไปอีก จวบจนมาถึงหน้าร้อนปีนี้ ด้วยอาการแพ้อากาศร้อนของผมทำให้นึกถึงหอสมุดแห่งชาติขึ้นมาอีกครั้ง

หอสมุดแห่งชาติช่วงนี้เป็นที่ถูกใจผมยิ่งนัก เนื่องจากยังเป็นช่วงปิดเทอมของโรงเรียนอยู่ทำให้ไม่มีนักเรียนมาค้นคว้าข้อมูล กอรปกับมีการปรับปรุงพื้นที่ก่อสร้างข้างล่าง ซึ่งคนผ่านไปผ่านมาจะมองเหมือนหอสมุดปิดปรับปรุง ทำให้คนมาใช้บริการนั้นน้อยลงไปอีก
สงบครับ สงบถูกใจผมมากๆ แอร์ก็เย็น เงียบก็เงียบ จึงทำให้ผมเริ่มเปลี่ยนจากสัมภเวสีกลายมาเป็นเจ้าที่ทันที อยู่ทนอยู่นาน อ่านหนังสือเล่มนุ้น เล่มนี้ไปเรื่อย ข้อเสียอย่างเดียวของหอสมุดแห่งชาติคือห้ามเอาหนังสือเข้าครับ แต่ด้วยความที่มีหนังสืออยู่เยอะทำให้พอจะอะลุ่มอะล่วยกันได้

พูดถึงเรื่องการอ่านหนังสือ ผมเคยได้รับทราบข้อมูลข่าวสารงานวิจัยการอ่านหนังสือของคนไทยมาบ้างว่า โดยเฉลี่ยแล้วคนไทยอ่านหนังสือเพียงวันละ 6-7 บรรทัดเท่านั้น มันเลยเป็นประเด็นน่าสนใจในการวิเคราะห์ว่าอัตราการอ่านหนังสือนั้นน่าจะสัมพันธ์กับอะไรบ้าง

จากประสบการณ์และข้อมูลที่ได้อ่านๆมา ผมมีความคิดว่าคนจะอ่านหนังสือหรือศึกษาเพิ่มเติมได้นั้นต้องมีความสนใจไคร่รู้เป็นเหตุตั้งต้น ถ้าไม่มีความกระหายอยากรู้อยากเห็นแล้ว ความรู้สึกอยากอ่านคงไม่เกิดขึ้น ตัวอย่างความสัมพันธ์ที่มองเห็นได้ง่ายๆนั้นเช่น นิตยสารที่วางขายตามท้องตลาด ถ้าเราสังเกตดีๆแล้วเราจะพบว่านิตยสารทุกเล่มจะต้องมีข้อความบอกตรงหน้าปกว่าในเล่มจะมีเรื่องอะไรบ้าง เพื่อเป็นการกระตุ้นให้คนสนใจ โดยคนซื้อนั้นก็ต้องอ่านตรงหน้าปกว่าเรื่องที่เขานำเสนอนั้นน่าสนใจน่าที่จะอยากรู้หรือไม่ ถ้าน่าสนใจถึงจะซื้อ ถึงตอนนี้อาจจะมีคนแย้งว่าบางคนซื้อนิตยสารโดยไม่ได้อ่านหัวข้อเรื่องตรงหน้าปกด้วยซ้ำไป คนที่ซื้อนิตยสารโดยไม่อ่านนั้นจะมีสองพวกครับ

ก.) กลุ่มคนที่เป็นแฟนประจำของนิตยสารนั้น กลุ่มนี้เขามีความไว้ใจเป็นทุนเดิม เขาเชื่อว่าเรื่องที่จะนำเสนอในนิตยสารนั้นเป็นในแนวที่เขาสนใจ ซึ่งจะเป็นเรื่องอะไรก็แล้วแต่ เขาก็สนใจอยากอ่านอยู่แล้ว ดังนั้นข้อนี้จึงเป็นประเด็นที่ทำให้เกิดการจัดกลุ่มประเภทของนิตยสารขึ้น เช่นว่านิตยสารนี้เป็นกลุ่มวิทยาศาสตร์ นิตยสารนั้นเป็นกลุ่มสังคม เศรษฐกิจเป็นต้น อีกประการคือทำให้เกิดรูปแบบการเป็นสมาชิกขึ้น เพื่อมาสนองความต้องการของกลุ่มคนที่เป็นแฟนประจำนั่นเอง
ข.) กลุ่มคนที่ซื้อนิตยสารโดยไม่อ่าน...แต่เน้นดูอย่างเดียว คงพอเดาได้นะครับว่าน่าจะเป็นนิตยสารแนวใหน กลุ่มนี้เวลาซื้อก็ต้องมีความสนใจมาเป็นตัวตั้งต้นเช่นกัน คือหลังจากดูแล้วเกิดความสนใจขึ้นมาว่าข้างในจะมีอะไรเร้าใจกว่าหน้าปกหรือเปล่า?

ที่นี้มาคิดต่อว่าแล้วที่คนไทยอ่านหนังสือน้อยแสดงว่าความอยากรู้มีน้อยหรือไม่...
เป็นไปได้ครับ โดยปกติแล้ววัฒนธรรมไทยจะเน้นให้มีความเคารพเชื่อฟังผู้ใหญ่ ผู้ใหญ่สอนอะไรต้องเชื่อฟัง เด็กคนใหนไม่ฟังก็จะมีการดุด่าว่ากล่าวว่าดื้อ การศึกษาไทยก็เช่นเดียวกันครับ ครูพูดอะไรต้องเชื่อฟัง อย่าเถียง ดังนั้นสภาพทางสังคม วัฒนธรรมหรือระบบการศึกษาแบบนี้ไม่เอื้อให้เกิดจินตนาการ การคิดเพิ่มเติมสักเท่าไร เมื่อจินตนาการ และความคิดถูกปิดกั้น ความสนใจ ความอยากรู้ก็ลดน้อยถอยลงตามไปด้วย อีกปัจจัยนึงที่มีผลต่อการอ่านหนังสือคือเมื่อเรามีความสนใจเรื่องใดแล้วนั้น จะหาเอกสารหรือหนังสือมาสนองตัญหาก็ยาก เพราะเมืองไทยไม่ค่อยมีแหล่งหนังสือสาธารณะครับ ทำให้การเข้าถึงความรู้เป็นไปได้อย่างยากยิ่ง เมื่อไม่มีที่ให้เข้าถึงความสนใจที่เคยมีก็ฝ่อตัวลง แต่สมัยนี้ยังดีที่เรายังมีอินเตอร์เนตให้ใช้ค้นคว้าหาความรู้กัน แต่อย่างว่าครับ อินเตอร์เนตเป็นดาบสองคม ทำให้คนเป็นปราชญ์ก็ได้ ทำให้คนเป็นโจรก็ได้...

ฟ้ามืดครึ้ม นกน้อยกำลังบินกลับรัง ลมพัดเบาๆแต่เย็นสบายเข้ามาสัมผัสกาย ผมเดินออกจากหอสมุดแห่งชาติ พร้อมประเด็นความคิดอีกหลายหลากจากหนังสือที่ได้อ่านให้ไปขบคิดต่อ ขึ้นรถเมล์กลับบ้าน และคิดบนรถเมล์ต่อไปเรื่อยๆ รู้ตัวอีกที ก็ต้องมีประเด็นคิดเพิ่มอีก... "ที่นี่ที่ใหนวะ??"


ดวง
20070505 15:14

Tuesday, April 24, 2007

ไออุ่นลาวใต้ ตอน 7

อุบล #2

ก่อนเดินทางครั้งนี้นั้นนอกจากข้อมูลที่หาทางอินเตอร์เนตแล้ว
หนังสือท่องเที่ยวอุบลและลาวเป็นสิ่งที่ผมพยายามหาเล่มที่ให้ข้อมูลดีๆมาพกติดตัวไว้เพื่อความอุ่นใจ
ผมได้หนังสือเที่ยวอุบลเป็นของสำนักพิมพ์สารคดี ส่วนของลาวนั้นหาที่ถูกใจสบายกระเป๋าไม่ได้จริงๆ
เที่ยวลาวของ lonely planet ข้อมูลแน่นถูกใจมาก แต่ราคาเกือบพัน...
คิดแล้วคิดอีกสุดท้ายก็ไม่เอา ได้เพียงยืนอ่านและจำๆข้อมูลที่สำคัญไว้
ผมมาทราบเอาทีหลังครับว่าเราสามารถที่จะหาหนังสือ lonely planet มือสองราคาถูกได้ที่ตรอกข้าวสาร
เป็นของฝรั่งที่เที่ยวเสร็จแล้วมาขายไว้ครับ

จากที่เปิดๆดูในหนังสือ...
ผมวางแผนเที่ยวอุบลไว้คร่าวๆว่าจะแวะไปกินอาหารเช้าแปลกๆที่ตลาดใหญ่ เป็นตลาดหลักของตัวเมืองอุบลครับ
หลังจากนั้นจะไปขลุกตัวอยู่ที่พิพิทธภัณฑ์ประจำจังหวัด ตามด้วยวัดสำคัญๆรอบๆพิพิทธภัณฑ์อีก 3-4 วัดซึ่งคงจะหมดวันพอดี
การเดินทางในตัวเมืองอุบลจะมีรถสองแถววิ่งกันหลายสายคลุมพื้นที่หลักๆของตัวเมืองหมด
เพียงแค่รู้ว่าจะต้องขึ้นสายอะไรเท่านั้นก็สามารถเที่ยวอุบลได้อย่างสบาย
จากข้อมูลในหนังสือ ตลาดใหญ่จะมีสาย 12 ผ่าน
แต่... "ต้องขึ้นที่ใหนวะ" เป็นคำถามของผมที่หนังสือไม่มีคำตอบไว้ให้
เรื่องอย่างนี้ต้องคนท้องถิ่นเท่านั้น ผมจึงหันไปถามดำว่าผมจะต้องไปรอรถที่ใหน จึงจะพานพบรถสายนี้ได้
ได้คำตอบว่าไม่รู้ เนื่องจากปกติขับรถตัวเองไปทำงาน... -_-'
แต่ดำบอกว่าไม่ต้องห่วงเพื่อนน่าจะรู้เดี๋ยวถามให้ เนื่องจากเดี๋ยวเค้าจะนั่งรถไปทำงานพร้อมกัน
ดังนั้นดำจะไปปล่อยผมตรงจุดที่รถสองแถวผ่าน แล้วไปทำงานต่อ...

ตรงจุดที่ผมรอรถนั้นเป็นมหาลัยราชภัฏครับ อาคารตัวหอประชุมสวยดี


บรรยากาศโดยรอบของมหาลัยราชภัฏนั้น ร่มรื่นน่าเรียนเอาการ
นี่เป็นสิ่งที่ผมสัมผัสได้อยู่เสมอเวลาได้ไปเยือนสถานศึกษาตามต่างจังหวัด
ผมมักจะหวังอยู่เสมอว่าอยากให้มหาลัยเมืองกรุงคำนึงถึงพื้นที่สีเขียวให้มากกว่าที่เป็นอยู่
นโยบายด้านสิ่งแวดล้อมหรือบรรยากาศนั้น มักจะมาตามหลังนโยบายลดพื้นที่สีเขียวเพื่อสร้างสิ่งก่อสร้างที่ทันสมัย
เอาไว้โชว์ให้คนภายนอกชื่นชมอยู่เสมอ แต่เมื่อได้เข้าไปสัมผัสมันจริงๆ
ความทันสมัยเหล่านั้นหาได้ถูกใช้อย่างคุ้มค่ากับเงินทองที่ลงทุน พื้นที่สีเขียวที่ลดลงไม่
เสียดายครับ เสียดายจริงๆ ผมว่าพื้นที่สีเขียวนั้นเวลาเข้าไปอยู่มันทำให้รู้สึกผ่อนคลาย เย็นใจได้
แถมยังมีผลทางอ้อมในการลดเสียงรบกวนจากรถยนต์ที่วิ่งรอบๆ สถานศึกษาได้อีก
มันจะช่วยให้นักศึกษามีสมาธิในการเรียนมากกว่าที่จะต้องเดินฝ่าแดด ฝุ่นควัน เสียงเครื่องยนต์
พอถึงห้องเรียน จิตใจสมาธิก็จะไม่ค่อยอยู่กับตัวเอา...

ผมเดินเก็บภาพสักพักก็มานั่งรอที่ป้ายรถ รอไม่นานรถก็มา
ด้วยความที่ผมเป็นคนมีพรสวรรค์ทางด้านหลงทางอย่างไม่ยอมให้ใครเหนือกว่า ทำให้ผมรู้ตัวว่าถ้าพลาดเหนื่อยแน่
ซึ่งก่อนหน้านี้ทุกครั้งเวลาเที่ยวจะอาศัยเพื่อนนำทางให้เสมอ
ครั้นพอมาเที่ยวคนเดียวทำให้ต้องตั้งสติและดูแผนที่อย่างตั้งใจอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
ถ้ารถเลี้ยวซ้ายผมก็ต้องไล่เส้นทางในแผนที่ไปทางด้านซ้าย ถ้าเลี้ยวขวาผมก็ไล่แผนที่ไปทางด้านขวา
เป็นวิธีเอาตัวรอด ที่คิดว่าสบายๆ ไม่น่ายากๆ
ซ้ายๆ ขวาๆๆ ซ้าย ขวา ซ้ายๆ ขับตรงผ่านแยก ฯลฯ
เป็นเส้นทางที่รถวิ่งครับ มันเลี้ยวเร็ว เลี้ยวบ่อยเหลือเกิน รู้ตัวอีกทีไม่รู้อยู่ใหนแล้ว T_T
"เอาอีกแล้วไงกู" เป็นความคิดที่บ่งบอกว่าพรสวรรค์ผมเปล่งประกายอย่างห้ามไม่อยู่จริงๆ
อ๊ะๆ แต่สุดท้ายผมก็มาถึงตลาดใหญ่ อย่างไม่ต้องถามใครแถมยังลงถูกจุดอีก
แฮ่ม.. รถมันสุดสายที่ตลาดพอดีครับ

หลังจากลงรถผมเดินตรงไปด้านข้างของตลาด ตามคำบอกเล่าของหนังสือทันทีเพื่อที่จะไปลองลิ้มอาหารญวณ
เดินด้านข้าง.........ไม่เจอ สงสัยอยู่ด้านหน้า
เดินด้านหน้า......... ก็ยังไม่เจอ สงสัยอยู่ด้านหลัง
เดินด้านหลัง..........เอ๊ะไม่เจออีก สงสัยร้านปิด ผมตีความในแง่ดี
ท้องเริ่มร้อง สุดท้ายผมก็ได้อาหารแปลก ต้มเลือดหมู กับข้าวสวยครับ
อาศัยว่าเป็นอาหารแปลก(ที่)



ดวง
20070424 11:08

Sunday, April 1, 2007

รายชื่อหนังสือจากงานสัปดาห์หนังสือแห่งชาติ ๒๕๕o

เอารายชื่อหนังสือที่ซื้อมาลงไว้ครับ เผื่อสนใจอยากอ่านเล่มใหนจะได้ยืมถูกและไม่ซื้อซ้ำ ;-)

30 มีนา
1.) The Notebook(ปาฏิหารย์บันทึกรัก),Nicholas Sparks,จีรนันท์ พิตรปรีชา แปล,สำนักพิมพ์มติชน
2.) The Bookseller of Kabul(ถนนหนังสือสายคาบูล),Asne Seierstad,จีรนันท์ พิตรปรีชา แปล,สำนักพิมพ์มติชน
3.) ศาสตร์แห่งความหดหู่และสิ้นหวัง,วรากรณ์ สามโกเศศ,สำนักพิมพ์มติชน
4.) สนุกกับของไม่ฟรี,วรากรณ์ สามโกเศศ,สำนักพิมพ์มติชน
5.) The man who knew infinity(รามานุจัน อัจฉริยะไม่รู้จบ),Robert Kanigel,นรา สุภัคโรจน์ แปล,สำนักพิมพ์มติชน

3 เมษา
6.) ประชาธิปไตยไม่ใช่ของเรา,ศิโรตม์ คล้ามไพบูลย์,สำนักพิมพ์โอเพ่น
7.) การเมืองของไพร่,พิชญ์ พงษ์สวัสดิ์,สำนักพิมพ์โอเพ่น
8.) พระราชอำนาจ องคมนตรี และผู้มีบารมีนอกรัฐธรรมนูญ,ปิยบุตร แสงกนกกุล,สำนักพิมพ์โอเพ่น
9.) October 6,สำนักพิมพ์โอเพ่น
10.) รัฐประหาร 19 กันยา รัฐประหารเพื่อระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข,สำนักพิมพ์ฟ้าเดียวกัน
11.) พรมแดนทดลอง,มุกหอม วงศ์เทศ,สำนักพิมพ์โอเพ่น
12.) Mailbox,โตมร สุขปรีชา,สำนักพิมพ์โอเพ่น
13.) ทัศนะว่าด้วยการศึกษา,ป๋วย อึ๊งภากรณ์,สำนักพิมพ์มูลนิธิโกมลคีมทอง
14.) ทัศนะว่าด้วยการเมืองและจริยธรรม,ป๋วย อึ๊งภากรณ์,สำนักพิมพ์มูลนิธิโกมลคีมทอง
15.) กุญแจเซ็น,ติช นัท ฮันห์,พจนา จันทรสันติ แปล,สำนักพิมพ์มูลนิธิโกมลคีมทอง
16.) ปืน เชื้อโรค และเหล็กกล้า กับชะตากรรมของสังคมมนุษย์,จาเร็ด ไดมอนด์,อรวรรณ คูหเจริญ แปล,สำนักพิมพ์คบไฟ
17.) The Death of VISHNU(ความตายของวิษณุ),Manil Suri,นรา สุภัคโรจน์ แปล,สำนักพิมพ์มติชน

5 เมษา
18.) ความคิด ความรู้ และอำนาจการเมืองไทยในการปฏิรูปสยาม 2475,นครินทร์ เมฆไตรรัตน์,สำนักพิมพ์ฟ้าเดียวกัน
19.) หลายชีวิต จิตรภูมิศักดิ์,วิชัย นภารัศมี,สำนักพิมพ์ฟ้าเดียวกัน
20.) แสงใต้ในมรสุมt,วีรศักดิ์ จันทร์ส่องแสง,สำนักพิมพ์สารคดี
21.) เดินสู่อิสรภาพ,ประมวล เพ็งจันทร์,สำนักพิมพ์สุขภาพใจ
22.) อานาปานสติ,พุทธทาสภิกขุ,สำนักพิมพ์สุขภาพใจ

หมดแล้วครับ... ทั้งหนังสือที่ซื้อ ทั้งเงินที่มี...
คงจะพักซื้อหนังสือไปได้พักใหญ่
แต่คงจะยืมหนังสือจากห้องสมุดต่อ...
เอาไว้ปลายปีค่อยว่ากันใหม่ :-)

ดวง

ตอบความคิดเห็นของพี่ IKKE ในเรื่อง ความสับสนของสังคมไทยตอน 1

ตอบความคิดเห็นของพี่ IKKE ในเรื่อง ความสับสนของสังคมไทยตอน 1

ตอนแรกว่าจะตอบใน comment แต่เขียนแล้วมันยาว เลยเอามาลงเลยดีกว่า จะอ่านง่ายกว่า
พี่ IKKE ครับขอบคุณสำหรับความคิดเห็นดีๆ นะครับ :-)

ผมขอขยายความความคิดผมเพิ่ม (แก้ไขเพิ่มเติม 20070403)
ผมเชื่อว่าสภาพแวดล้อมต่างๆกันทำให้เกิดความเสียสละต่างกัน... ซึ่งสิ่งที่จำเป็นขั้นพื้นฐานของความเสียสละหรือการร่วมมือโดยส่วนรวมนั้น ต้องมีอย่างน้อย 2 อย่างคือ ปัจจัยพื้นฐานและความเป็นอิศระเสรีต่อการดำรงชีวิต กับสิทธิ์การรับทราบข้อมูลอย่างเท่าเทียม
ที่บอกว่าอย่างน้อยเพราะผมนึกออกเพียงสองข้อ แต่เข้าใจว่าน่าจะต้องมีอย่างอื่นที่มองไม่เห็นประกอบเพิ่มอีก...

ก.) ความจำเป็นที่จะต้องมีปัจจัยพื้นฐานและเสรีในการดำรงชีวิตนั้นเป็นพื้นฐานต่อการดำรงตน จะรวมตั้งแต่ปัจจัยสี่ต่อการดำรงชีวิตถึงสิทธิของความเป็นมนุษย์ เช่นการมีสิทธิที่จะสามารถเลือกทำงานตามความต้องการของตนได้ สิทธิที่จะออกจากที่ทำงานได้ถ้าไม่ต้องการ สิทธิในการออกความคิดเห็น เป็นต้น ซึ่งถ้าสิ่งข้างต้นลดลงไปแล้วนั้น จะทำให้เกิดการปกป้อง เห็นแก่ตัวตนและชีวิตของตนเองสูงขึ้น โดยที่การเสียสละต่อส่วนรวมจะลดลงอย่างสัมพันธ์กัน แต่ไม่จำเป็นที่จะต้องมีอัตราเท่ากัน ในกรณีนี้ชีวิตทาสก็เช่นกัน ด้วยสถาณการณ์ที่จะต้องทำงานตามคำสั่ง ขาดซึ่งอิศระเสรีภาพต่อการดำรงตน ขาดความมั่นใจในชีวิตตนว่าจะมีชีวิตรอดหรือไม่ ทำให้จำเป็นที่จะต้องคำนึงถึงการมีชีวิตอยู่ของตนก่อน ทั้งนี้ทั้งนั้นไม่ได้หมายความว่าทาสร้อยคนจะเป็นดังที่คาดทุกคน จะมีเป็นกรณีพิเศษบ้างในกลุ่มที่เชื่อในบางสิ่งเหนือชีวิตตน เช่น เทพเจ้า ลัทธิ อุดมการณ์ หรือ ความสัมพันธ์ระหว่างแม่กับลูก

ข.) สิทธิเสรีในการเข้าถึงข้อมูลอย่างเท่าเทียม การเสียสละจะเกิดขึ้นได้นั้นจำเป็นที่จะต้องมีเสรีในการที่จะทราบถึงเหตุที่จะต้องทำการเสียสละก่อน เช่น ขัดสน อดอยาก ขาดแคลน ในกรณีของซาดองโยที่ได้รับทราบข้อมูล ความรู้ มาก่อนหน้านี้ทำให้คาดการณ์ได้ว่าเขื่อนอาจจะพังทลายลงมาได้ ถ้าสร้างไม่ถูกวิธีนั้น ทำให้เขาเลือกที่จะเตือนไปยังองค์หญิง ซึ่งต่างกับทาสคนอื่นที่ไม่ทราบถึงข้อมูลตรงนี้ แต่ในกรณีของการแจ้งข้อมูลไปยังทาสคนอื่น เพื่อก่อให้เกิดความเสียสละ แต่ไม่สามารถกระตุ้นให้เกิดได้ เพราะในสถาณการณ์ของการเป็นทาสที่ขาดสิทธิการดำรงตนไปแล้วนั้น จะไม่เอื้ออำนวยต่อการรับสารที่ทำให้เขาต้องมีชีวิตลำบากขึ้นแน่นอน ซึ่งต่างกับซาดองโยที่ผมคาดว่าเขามีความรู้พวกนี้ตั้งแต่ก่อนเป็นทาสทำงานสร้างเขื่อน
ถ้ามองในแง่ร้าย ซาดองโยเองก็คงไม่อยากสร้างเขื่อนและไม่อยากตายถ้าเขื่อนพังทลายลงมา จึงจำเป็นต้องบอกองค์หญิงว่าเขื่อนอาจจะพังได้ถ้ายังดันทุรังสร้างต่อไป


ผมเชื่อเหมือนพี่ IKKE ว่าการเสียสละส่วนใหญ่นั้นเป็นการเสียสละที่ไม่บริสุทธิ์ เพราะต่างหวังผลตอบแทน ตามหลักของเศรษฐศาสตร์ที่ได้ชื่อว่าเป็น Dismal science หรือศาสตร์แห่งความหดหู่และสิ้นหวัง เพราะยืนยันว่าทุกอย่างมีต้นทุน จะได้อะไรมาต้องเอาบางสิ่งหรือหลายสิ่งไปแลกเสมอ แต่ผมเชื่อในกรณีของสังคมเมืองหรือสังคมขนาดใหญ่ครับ
จากสิ่งที่ผมได้รับมาเวลาเดินทางไปเที่ยวตามชนบท ทำให้ผมยังเชื่อว่ายังมีสังคมที่มีการเสียสละที่บริสุทธิ์อยู่ในโลก และเมื่อคนไม่ได้เป็นสัตว์เศรษฐกิจทุกคน สังคมที่ไม่ได้เป็นสังคมสัตว์เศรษฐกิจก็น่าจะมีอยู่บ้าง ทั้งนี้สังคมนั้นต้องประกอบด้วยอย่างน้อย 2 อย่างข้างต้น

โดยถ้าวิเคราะห์ความเสียสละแบบแบบไม่บริสุทธิ์ จะเห็นได้ว่าค่อนข้างอ่อนไหว เสียหายง่ายมาก ถ้าต้นทุนที่ต้องจ่ายไม่คุ้มกับผลที่ได้รับ ยกตัวอย่างเช่น การต่อแถวขึ้นรถไฟฟ้าถ้าทุกคนต่อแถวหมด ซึ่งถือว่าเป็นการเสียสละต่างตอบแทนเช่นกันเพราะเขาเสียสละที่จะไม่แซงคิวเพื่อที่จะได้รับอันดับเข้ารถอย่างสมควร แต่ถ้ามีอยู่คนหนึ่งแทรกแถวเข้าไปก่อน มันง่ายมากที่จะทำให้คนต่อแถวอยู่ข้างหลังที่เขาคิดว่าการเสียสละไม่คุ้มกับอันดับที่จะเข้ารถแถมยังถูกแซงอีก ซึ่งเขาอาจจะไม่ได้นั่ง ทำให้เขาตัดสินใจแทรกตามไปด้วย
ดังนั้นถ้าเราต้องการจะให้สังคมมีความเป็นระเบียบเรียบร้อยมากขึ้น เราจำเป็นที่จะต้องมีกระแสสังคมคอยบังคับให้เกิดความเป็นระเบียบ เช่น การตักเตือน หรือการสั่งสอน หรืออาจรุนแรงกว่านั้น เพื่อทำให้รายจ่ายที่เขาต้องได้รับถ้าต้องการจะแซงสูงขึ้น เมื่อรายจ่ายสูงขึ้นการจัดสินใจแซงก็จะลดลง

สังคมไทยในตัวเมืองนั้นพัฒนามาจากสังคมชนบทในสมัยก่อน ดังนั้นการเสียสละแบบบริสุทธิ์ตามแบบของสังคมชนบทที่ผมเชื่อ จึงผสมกับการเสียสละแบบไม่บริสุทธ์ของสังคมเมืองสมัยใหม่ที่ก้าวเข้ามา ทำให้สังคมไทยยังคงเป็นสังคมที่ผสมของความเสียสละ ยังให้เกิดความสับสนของคนในสังคม หรือไม่ผมก็สับสนของผมคนเดียว ;-)

โดยพื้นฐานแล้วผมไม่คิดว่าโลกเราจะมองได้เหมือนเหรียญที่มองได้เพียงสองหน้า ...โลกเรามันกลมนะครับ... แม้ว่าจะมีคนออกมาประกาศว่า The world is flat ก็ตาม :-)

อ้างอิง
1.) ศาสตร์แห่งความหดหู่และสิ้นหวัง :วรากรณ์ สามโกเศศ:สำนักพิมพ์มติชน มีนาคม ๒๕๕o














ดวง
20070401 10:06

Saturday, March 24, 2007

ความสับสนของสังคมไทย ตอน 1

"เสียสละ"

ตอนผมเพิ่งจบใหม่ๆนั้น ผมก็เหมือนคนอื่นตรงที่มีการกำหนดลักษณะของบริษัทที่อยากจะทำงานด้วย
ซึ่งแต่ละคนจะมีโอกาศที่จะได้บริษัทที่ตัวเองต้องการหรือไม่นั้นก็ขึ้นอยู่กับ คุณสมบัติของผู้ที่สมัครงานเป็นหลัก
บวกด้วยโชคเป็นตัวช่วยเสริม...

สำหรับลักษณะของบริษัทที่ผมต้องการจะทำงานด้วยนั้น เท่าที่พอจำได้ผมกำหนดไว้ว่า
ต้องเป็นบริษัทต่างชาติ และเป็นบริษัทขนาดกลางหรือเล็ก
ที่ผมเลือกว่าจะทำงานบริษัทต่างชาตินั้น ไม่ใช่เหตุผลของผลตอบแทนหรือการนำชื่อเสียงไปใช้สมัครงานต่อที่อื่นแต่อย่างใด
ผมเพียงต้องการตอบสนองความอยากรู้ อยากเห็นและตอบข้อสงสัยที่มีมานานเท่านั้นเองว่า
ทำไมประเทศเราจึงสู้เขาไม่ได้ อะไรเป็นปัจจัย ความคิดของเค้ากับของเราต่างกันตรงใหน
ส่วนประเด็นของบริษัทขนาดกลางหรือเล็กที่ผมตั้งไว้นั้น ก็เป็นการสนองตัญหาของผมเช่นเดียวกัน
คือผมอยากเห็นแนวทางการเจริญเติบโต ว่าถ้าบริษัทที่กำลังขยายตัวนั้นต้องทำอย่างไร
ประเด็นหลังนี้เสี่ยงพอสมควรเพราะ ผมไม่อาจทราบได้ว่าบริษัทที่ผมจะเข้าไปทำงานนั้น จะเป็นบริษัทที่กำลังจะขยายหรือบริษัทที่กำลังเจ๊ง ซึ่งสรุปมาว่าผมค่อนข้างโชคดีที่เป็นอย่างที่ผมต้องการ

บริษัทที่ผมทำงานนั้นเป็นบริษัทสัญชาติญี่ปุ่นครับ ซึ่งหลังจากทำงานมาได้พอสมควรทำให้ผมทราบว่า
เขาขยัน จริงจัง ทำงานเป็นระบบ และมองมุมกว้างกว่าเรามาก โดยลักษณะอย่างนี้อยู่ในคนญี่ปุ่นส่วนใหญ่
แต่อย่างว่าครับไม่มีประเทศใหนเก่งทุกคน ซึ่งคนของเขาก็มีห่วยๆบ้าง
แต่ประเด็นสำคัญที่ผมว่าเป็นตัวที่ทำให้ประเทศเขาพัฒนาไปได้เร็ว คือคำนึงถึงประโยชน์ของบริษัทหรือประเทศเขามาก่อนประโยชน์ส่วนตัว ซึ่งเขาจะให้ความร่วมมือตามนโยบายเสมอแม้บางทีจะไม่เห็นด้วยก็ตาม

สิ่งที่ผมได้รับรู้ทำให้ผมอดคิดด่อไม่ได้ว่า อะไรที่ทำให้เรา(คนไทย) เป็นอย่างทุกวันนี้
เราอาจจะเคยได้ยินสิ่งที่ผู้ใหญ่สอนสั่งว่า ตั้งใจเรียนเข้านะลูกจะได้เป็นเจ้าคนนายคน
เรียนให้เก่งๆจะได้มีชีวิตที่ดีๆ แต่ผมไม่เคยได้ยินคำสอนในแนวว่า ตั้งใจเรียนนะจะได้ช่วยกันพัฒนาประเทศ
หรือเรียนให้เก่งๆจะได้ไปช่วยเหลือคนที่ยากจนกว่า
เราขาดการสั่งสอนให้ทำอะไรเพื่อสังคมหรือเปล่า??
เราพอใจเพียงแค่จะให้ตัวเองมีความสุข มีเงินทอง มีชื่อเสียง เท่านั้นหรือ???
และเราขาดการมองอย่างองค์รวมที่ว่า ทุกคนมีส่วนที่จะทำให้เกิดผลกระทบต่อกันและกัน
เราๆ ท่านๆ ก็เห็นกันอยู่ว่าการทรุดโทรมของสังคมชนบทนั้นเกิดผลกระทบต่อประเทศเพียงใด
และเราก็เห็นแล้วว่าเมื่อประเทศเราเซ มีผลกระทบต่อประเทศอื่นอย่างไรในวิกฤติการณ์ต้มยำกุ้ง
แต่ไม่เห็นจะมีชนชั้นปกครองผู้ใดมีทีท่าตระหนักถึงต้นตอสาเหตุเลย
ผมว่าเราพอที่จะเริ่มเปลี่ยนทัศนะคติของเราได้ ที่จะให้ความสำคัญกับการมองและทำเพื่อส่วนรวมกันมากขึ้น
ลำพังไอ้นโยบายภาครัฐที่ออกมาเรียกร้องการเสียสละจากประชาชนไม่พอหรอกครับ ถ้าพื้นฐานของความคิดหรือทัศนคติหลักไม่ได้มีคำว่าเสียสละประกอบอยู่ สิ่งที่เกิดขึ้นก็จะเป็นเพียงความเสียสละแบบชั่วครั้งชั่วคราวเท่านั้นเอง ตราบใดที่เรายังไม่ส่งเสริมปลูกฝังกันอย่างจริงๆจังๆ

ช่วงสึนามิต่างชาติออกมาชื่นชมความเสียสละของคนไทยที่ร่วมกันบริจาคเงิน สิ่งของ ช่วยเหลือผู้ประสบภัย
แต่ผมก็ยังคงเห็นผู้บริจาคเหล่านั้น ยังคงแย่งกันขึ้นรถลงเรือ ขัดแข้งขัดขา อิจฉา แบ่งพรรคแบ่งพวกกันอยู่
แล้วมันจะมีประโยชน์อันใดครับ ถามหน่อย...


ดวง
20070324 2:53

Monday, March 19, 2007

ไออุ่นลาวใต้ ตอน6

อุบล#1

รถเคลื่อนที่เข้ามาจอดที่ท่ารถจังหวัดอุบลเกือบ 6 โมงเช้า
อากาศหนาวกว่าที่คาดไว้พอสมควร
อาการเศร้าใจคืบคลานเข้ามา เพราะตัดสินใจไม่เอาเสื้อกันหนาวกับถุงนอนติดมาด้วย
ถ้าเอามาเป้จะเต็มเจียนล้น...
โบราณท่านว่าขากลับมักจะบรรทุกของมากกว่าขาไปเสมอ
จึงไม่เสี่ยงทุลักทุเลขากลับ แต่เข้าใจว่าอากาศหนาวอย่างนี้ คงจะต้องเสี่ยงกับหนาวตายแทน...

นัดกับดำไว้แล้วว่าจะรบกวนให้มารับที่ท่ารถ และจะขอนอนด้วยหนึ่งคืน
แต่... ยังไม่กล้าโทรไปตาม ไม่อยากปลุกให้ตื่นแต่เช้า
นั่งดูทีวีรอเวลาไปเรื่อยๆ ไม่ได้ดูทีวีตอนเช้ามานานมากกก
ครั้งสุดท้ายที่ดูน่าจะเป็นตอนเรียนลาดกระบัง ไม่ได้ตื่นตั้งแต่เช้ามาดู แต่ยังไม่ได้นอน...
ใกล้เจ็ดโมงจึงโทรไป ดำตื่นแล้ว ค่อยยังชั่ว ไม่ได้เป็นคนโทรมาปลุก
คุยไปคุยมา ได้ความว่าดำเป็นคนตื่นเช้าเป็นปกติ และตื่นตั้งแต่หกโมงแล้ว...
ได้แง่คิดว่า อย่าได้คิดว่าคนอื่นจะเป็นคนตื่นสายเหมือนตน แม้จะจบจากลาดกระบังเหมือนกัน :-)

ไม่นานดำก็โทรมาบอกว่ามาถึงแล้ว
ออกไปตรงจุดนัดพบ เจอกันครั้งแรกมันชูมือเรียก แต่มองข้ามไปไม่ได้สนใจ นึกว่าคนขับรถสองแถว...
ที่มองไม่เห็นเพราะทรงผมมันครับ เด๋อจนจำไม่ได้
แต่ไม่ได้บอก... ดูเหมือนดำคงรู้ตัว เพราะสีหน้าผมอึ้งได้โดดเด่นขนาดนั้น
ดำบอกว่าช่วงที่กลับไปอยู่บ้าน แม่ให้ไปตัดผม เลยเข้าไปร้านตัดผมแถวนั้น
ออกมาก็ทรงนี้เลย...

ดำเป็นคนศรีษะเกษ หรือกาฬสินผมไม่แน่ใจ
ดำพึ่งออกจากบริษัทที่ผมทำอยู่มาทำงานการไฟฟ้าอุบลได้ไม่นาน ด้วยเหตุผลต้องการอยู่ใกล้บ้าน
เพื่อที่จะดูแลครอบครัวได้สะดวก และแม่อยากให้ทำงานที่การไฟฟ้า
แม้ผลตอบแทนด้านเงินทองของการไฟฟ้าจะสู้ไม่ได้ แต่ผมเชื่อว่าผลตอบแทนทางด้านจิตใจที่เกิดขึ้นที่แม่ของดำนั้นมากมาย...
ผมกับดำสนิทกันมาก ด้วยนิสัยที่ตรงๆ เฮฮาๆ เหมือนๆกัน
เราจึงเป็นเพื่อนที่ถูกคอกันด้วยเวลาไม่นาน...
เรามักจะคุยนุ่นคุยนี่และวิ่งออกกำลังกายที่สวนลุมด้วยกันเสมอ
ผมเชื่อว่าเพื่อนวิ่งหาง่ายครับ แต่เพื่อนวิ่งกลางฝนนี่หายาก
ช่วงแรกที่วิ่งด้วยกัน ผมวิ่งกับดำทีไร ฝนตกตอนวิ่งทุกที แต่เราก็วิ่งครับ
จำได้ว่าวิ่งกันอยู่สองคน คนอื่นหลบฝนกันหมด เค้าคงนึกว่าไอ้บ้าสองคนนี้คงวิ่งแก้บน...

ผมมาถึงห้องดำ เราดื่มกาแฟคุยถามสารทุก สุกดิบ และเรื่องสถานที่เที่ยวกันซักพัก
ได้ความว่า ไม่รู้เหมือนกันตัวเมืองอุบลมีอะไรให้เที่ยว... -_-;
ผมจะอยู่อุบลหนึ่งวัน และวันรุ่งขึ้นจะข้ามไปลาวแต่เช้า คงจะรบกวนไปส่งที่ท่ารถอีกครั้ง
อ่อ... วันที่ผมอยู่ที่อุบลเป็นวันอังคารครับ ดำต้องไปทำงาน ดังนั้นผมจะต้องลุยอุบลคนเดียว
ถือว่าเป็นการเผาหลอก ก่อนถึงวันเผาจริงในวันพรุ่งนี้...



สำหรับผม...
แม้ว่าตอนนี้ผมยังคงวิ่งที่สวนลุม และดำเปลี่ยนมาวิ่งที่สวนหนองบัว
แต่มิตรภาพเรายังคงไม่เลือนลาง แม้ว่าจะวิ่งอยู่คนละที่ก็ตาม...



ดวง
20070319 12:00

Tuesday, March 13, 2007

ไออุ่นลาวใต้ ตอน5

กรุงเทพ-อุบล

โดยส่วนตัวผมชอบที่จะเลือกการเดินทางเป็นเวลากลางคืนเสมอ เพราะผมมักทนไม่ได้ที่จะเห็นบรรยากาศตรงหน้าต่างเคลื่อนที่
มันพาลหลับทุกทีครับ...
ดังนั้นผมรู้ตัวเองว่าต้องหลับแน่นอน กลางคืนจึงเป็นเวลาที่หลับสบายที่สุด

ที่นั่งที่ผมนั่งเป็นที่นั่งริมหน้าต่างครับ เพราะผมรู้สึกว่าให้ความเป็นส่วนตัวกว่าที่นั่งริมทางเดิน ที่มักจะมีคนเดินไปเข้าห้องน้ำอยู่เสมอ
ซึ่งที่นั่งข้างๆผมนั้นเป็นลุงท่าทางใจดีคนหนึ่ง ผมจึงหวังว่าอาจจะได้ทักทายปราศัยกันบ้างถ้ามีโอกาส...

หลังจากรถเคลื่อนได้สักพักแล้วนั้น พนักงานต้อนรับก็กล่าวแนะนำตัวพร้อมกับพูดอะไรสักอย่าง
ผมฟังไม่รู้เรื่องครับ รู้แต่เพียงว่าการให้จังหวะในการพูดและน้ำเสียงนั้น เหมือนการสวดมนต์ดีแท้...
สวดมนต์เสร็จไม่นาน ก็จะเป็นการถวายภัตตาหารแก่ผู้โดยสาร ประกอบด้วย ข้าวกล่อง เครื่องดื่ม และ ขนม
ตอนแรกผมกะไว้ว่าจะเก็บทุกอย่างไว้ก่อนครับ เอาไว้หิวแล้วค่อยกิน แต่ว่า...
ผมพบว่ามันไม่มีที่จะเก็บข้าวกล่องได้ ถ้าไม่กินก็ต้องวางไว้บนตักเท่านั้น
ในขณะที่ผมเลือกที่จะกินข้าวอยู่นั้น หนังก็เริ่มฉายออกทางทีวี ดูเหมือนว่าจะเป็นหนังเกาหลีตามกระแสนิยม
ผมไม่ค่อยได้สนใจเท่าไรนัก เพราะที่นั่งของผมนั้นอยู่ค่อนข้างหลัง ทำให้ไม่ค่อยได้ยินเสียงจากทีวีเท่าไหร่
อีกอย่าง... กินข้าวเสร็จผมคงทนพิษบาดแผลจากวิวตรงหน้าต่างไม่ไหว คงจะม่อยหลับไปตามระเบียบ

กินทุกอย่างเรียบร้อย ผมก็เริ่มที่จะมองวิวข้างๆ พร้อมกับอาการต่อเนื่องของหนังตาที่เริ่มหย่อนลงมาปิดเรื่อยๆ
ทันใดนั้น... ผมก็ต้องตกใจกับเสียงดังที่เกิดขึ้น
มันเป็นเสียงกรนครับ... ซึ่งเจ้าของเสียงไม่ใช่ใครครับ ลุงข้างๆผมเอง
เสียงกรนลุงดังมากจนคนที่นั่งแถวหน้าๆ ต้องหันมาหาแหล่งกำเนิดเสียง
ไม่ต้องพูดถึงที่นั่งผม ซึ่งถ้าว่ากันตามหลักการจัดตำแหน่งเมือง ถือได้ว่าเป็นหัวเมืองหน้าด่านเลยทีเดียว

คงจะเป็นเพราะบุปเพสันนิวาสหรืออย่างไรมิอาจทราบได้ ทำให้ผมได้มาใกล้ชิดลุง
ฟังลุงโอพาปราศัยกับผมอย่างจริงใจและหนักแน่นเช่นนี้... T_T

ด้วยความดังของเสียงลุง ทำให้ผมเริ่มที่จะดิ้นรนหาจุดดึงจิตใจจากเสียงกรน
เพราะผมรู้สึกว่าบรรยากาศตรงหน้าต่างไม่สามารถหักล้างกับมิตรภาพที่ลุงยื่นให้ผมได้เสียแล้ว
ผมจึงไปอาศัยหนังเกาหลีที่กำลังฉายอยู่แทน ซึ่งเป็นอย่างเดียวที่หาได้ในขณะนั้น...
ด้วยความเข้าใจว่าคงจะมีเนื้อเรื่องแบบ full house หรือ my sassy girl อะไรประมาณนั้น ซึ่งคงจะเพลินพอสมควร
5 นาทีผ่านไป...
เอ๊ะ... ทำไมนางเอกมันถือมีด ทำตาดุๆ
อ๊ะ... มีผู้หญิงตายหนึ่งคน โดยการฆ่าของนางเอก อย่างโหดร้าย
โอ๊ะ...ตายอีกหนึ่งคนแล้ว!!! นี่มันหนังฆาตกรรมโรคจิตนี่หว่า...
แจ๊คพอตครับ คือในแบบหนังทุกประเภท หนังแนวฆาตกรรมโรคจิตนี่เป็นแนวที่ผมกลัวที่จะดูที่สุด ดูแล้วมันชวนอ้วกจริงๆ
หมดที่พึ่ง... T_T

ผมเริ่มเข้าสู่สภาวะจนตรอก เนื่องจากกลัวว่าถ้าผมจะต้องลืมตารับคำทักทายลุงทั้งคืน ผมคงไม่มีแรงเที่ยวในวันถัดไปแน่ๆ
ผมเริ่มที่จะใช้วิธีนับแกะ นับดาวไปเรื่อยเปื่อย
ไม่สำเร็จครับ...นับไปสักพักใหญ่ก็ยังไม่สามารถทนทานมิตรภาพที่ลุงมอบให้ได้
จึงต้องยอมจำนน นั่งเตรียมพร้อมหลับ รอลุงขยับเปลี่ยนท่านอน โดยหวังว่าเสียงจะขาดช่วงชั่วคราว
และอาศัยจังหว่ะนั้น เข้าเฝ้าเง็กเซียนให้ได้
ผมจำไม่ได้ครับว่ารอนานเท่าใด รู้เพียงแค่ว่าผมเข้าเฝ้าเง็กเซียนได้สำเร็จ

สุดท้าย...ผมก็ได้ทักทายลุงดังหวัง แต่ต่อหน้าเง็กเซียนเท่านั้นเอง :-)










ดวง
20070313 11:43

 
Creative Commons License
This work is licensed under a Creative Commons Attribution-Noncommercial 3.0 Thailand License.