Saturday, May 9, 2009

ขอทาน episode II

กลุ่มถัดมาเป็นขอทานกลับบ้านไม่ถูก แกจะมาพร้อมกับป้ายกระดาษที่บรรจุตัวหนังสือบอกเล่าเรื่องราวว่าทำไมแกถึงมาอยู่ตรงนี้ได้ และที่สำคัญบอกว่าแกต้องการจะไปใหนต่อ โดยทั้งหมดที่ผมเห็น ที่หมายต่อไปคือบ้านเกิดครับ ขอทานกลุ่มนี้นับว่าน่าเห็นใจมาก เพราะแกเหมือนมาจากเมืองลับแลที่ไม่มีวันกลับไปได้ บางคนผมเห็นมาหลายเดือนแล้ว แกก็ยังมีปัญหากับการกลับบ้านแกอยู่ แต่เจออย่างนี้ก็อดคิดไม่ได้ว่า แกมีบ้านให้กลับ ก็น่าจะมีญาติ หรือคนรู้จักอยู่ที่บ้านหรือละแวกบ้านแก ถ้าอับจนหนทางจริงๆ การจะโทรหรือติดต่อเพื่อให้คนทางบ้านแกช่วยเหลือก็น่าจะเป็นไปได้ ผมว่าคนไทยยังไงก็ปล่อยให้คนรู้จักเดือดร้อนขนาดต้องขอทาน นอนข้างถนนไม่ได้หรอกครับ หรือเอาเข้าจริงชีวิตอาจโหดร้ายมากกว่าที่ผมคิด แกอาจจะไม่มีญาติสนิทมิตรสหายเหลืออยู่เลย หรือแม้กระทั่งที่จะซุกหัวนอน...... ซึ่งถ้าเป็นอย่างนั้นจริง กลับไปก็ดูเหมือนว่าไม่ค่อยมีประโยชน์อะไรเท่าไร ถึงกลับไปได้ก็อาจจะต้องหาเงินทุน เพื่อกลับมากรุงเทพฯอีก

ถัดมาเป็นขอทานแบบไม่ให้เหรอ....จำไว้ -*-
เคสนี้นับว่าแปลกพอสมควร อารมณ์คล้ายๆ โดนกรรโชกเล็กๆ แต่กลับรู้สึกผิดหน่อยๆ ผมเจอเคสนี้ตอนกำลังรอรถเมล์แถววงเวียนใหญ่เพื่อที่จะกลับบ้านครับ ระหว่างรออยู่ก็มีความรู้สึกว่าโดนรังสีกดดันอย่างหนักมาจากข้างๆ โดยปกติแล้วระหว่างรอรถเมล์ผมจะมีกิจวัตรประจำตัวอยู่สองอย่าง คือไม่มองไปว่ามีรถเมล์ที่รอมาหรือยัง ก็จะอ่านหนังสือไปเรื่อยๆ ซึ่งทำให้ผมไม่ค่อยสนใจอะไรรอบข้างเท่าไรนัก นี่เองทำให้กว่าผมจะรู้ตัว ไอ้คนแผ่รังสีก็มายืนจ้องหน้าอยู่ข้างๆแล้ว เข้าใจว่าแกอาจแผ่รังสีมานานพอควร พอผมไม่รู้สึกตัวมันก็เลยเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อยๆ จนอยู่ในระยะประชิด เจ้าของรังสีอำมหิตนี้เป็นผู้ชายอายุประมาณ 40 กว่าๆ ได้ หน้าตาเป็นในแนวคนเชื้อสายจีนที่มีร้านค้าเป็นของตัวเอง รูปร่างท้วม ใหญ่พอควร ผมหันมาเจอแกจ้องหน้าพร้อมหายใจ ฟึดๆๆๆ เหมือนวัวกระทิง ก็ผงะไปหน่อย อารามคิดว่านี่ตูไปเหยียบเท้าแกเปล่าวะ หรือตูยืนบังทำให้แกมองสายรถเมล์ไม่ชัดหรือเปล่า ระหว่างความคิดกำลังเตลิดนั้น แกก็บอกสาเหตุการอาฆาตว่า "ขอตังค์ยี่สิบเด่ะ" เท่านั้นแหล่ะครับ งง!! คือไม่คิดว่าบทมันจะหักมุมขนาดนี้
จากหน้าตาที่อาฆาต และลมหายใจฟึดๆๆๆ ประหนึ่งผมเคยไปทำร้ายบรรพชนพี่แกตั้งแต่ปางก่อน แต่ดันกลับมาของตังค์ ไอ้สิ่งที่แกทำลงไปทำให้ผมต้องชั่งใจมาก เพราะผมได้ให้สัญญากับตัวเองไว้แล้วว่าจะไม่ให้เงินขอทานคนใหน แต่สำหรับกรณีนี้ ถ้าผมไม่ให้แกจะต่อยผมไม๊เนี่ยย!! ผมชั่งใจอยู่สักพักก่อนตัดสินใจบอกไป อย่างห้วนๆ เล็กน้อยว่า "ไม่ให้" พร้อมดูท่าทีแกทันที เกิดแกทำอะไรวู่วามจะได้หลบทัน (หวังว่านะ) สรุปว่าพอตอบแกไปอย่างนั้น จากหน้าตาอาฆาตๆ กลายมาเป็นมองแบบค้อนๆ หน่อยๆ แล้วพูดว่า "จำไว้"
..
...
....
.....
...... ไอ้มนุษย์หักมุม!!! จะหักมุมไปถึงใหนเนี่ย หัวใจจะวาย เท่านั้นยังไม่จบ พอแกผิดหวังจากผม แกก็เดินไปส่งสายตาอาฆาตผู้หญิงอีกคน ซึ่งยืนถัดจากผมไปไม่ไกล ผู้หญิงคนนั้นให้ครับ ก็น่าจะให้อยู่หรอก น่ากลัวซะขนาดนั้น พอตามนุษยหักมุมนั่นรับตังค์แกก็หันมาทางผมแล้วบ่นพร้อมชี้มาว่า "แค่นี้ให้ไม่ได้" โดนดอกนี้นี่สะอึกเลยครับ ผมว่าผมทำถูกนะ แต่ดันรู้สึกผิดแฮะ แล้วไอ้สิ่งที่แกทำเนี่ย มันทำให้ผมนึกถึงสมัยอนุบาล ที่เวลาเพื่อนเรางอน ก็มักจะเดินห่างจาก ตัวเราไปสองสามก้าว แล้วหันกลับมาพร้อมพูดว่า "โป้ง!! เราโป้งเธอแล้ว" แล้ววิ่งหนีไป..... ไอ้ตอนนั้นก็ดูน่ารักดี แต่ตอนนี้เนี่ย...อายุสองฝ่ายรวมกันเลยแซยิดไปแล้ว มันขนลุกจริงๆ นะ......พี่มนุษย์หักมุม

กลุ่มถัดมาเป็นขอทาน(อาจจะ)สมัครเล่นครับ ลักษณะของกลุ่มนี้การพูดการจานั้นมีให้ความรู้สึกว่าเกรงใจที่จะต้องขอเป็นอย่างมาก เดือดร้อนจริงๆ ถ้าให้แล้วจะไม่ขอใครอีก มักจะพบเห็นในที่ๆ ขอทานทั่วไปไม่อยู่กัน
โดยปกติแล้วผมค่อนข้างจะโอเคกับขอทานกลุ่มนี้มากที่สุด เพราะดูเป็นธรรมชาติมากทั้งการพูดการจาและสถานที่จะให้เงิน ให้ความรู้สึกว่าขอเพราะเดือดร้อนจริงๆ และไม่ได้ขอทุกวันจนเป็นอาชีพ ซึ่งเมื่อผมมองแล้วว่าดูไม่เหมือนขอทาน ผมก็มักจะให้เงินช่วยเหลือตลอด แต่ก่อนให้ผมก็ขอสอบถามหน่อย อย่างถ้าจะกลับบ้านก็จะถามว่ากลับยังไง นั่งรถสายอะไร ต้องขึ้นที่ใหน เพื่อเป็นการยืนยันอีกทีครับ เพราะถ้าจะกลับรถเมล์แต่ดันไม่รู้สาย หรือเกิดบอกสายรถเมล์มาแล้วมันไม่ได้ผ่านบ้านแก นี่มันยังไงๆ อยู่ แต่ก็มีอยู่คนนึงที่ให้แล้วอยากเอาเงินคืนจริงๆ คือวันนั้นผมเจอป้าแกตอนประมาณเกือบสี่ทุ่มแถวสะพานปิ่นเกล้า แกมาขอตังค์ผมยี่สิบเป็นค่ารถเมล์กลับบ้าน ผมก็ถามไปตามธรรมเนียมว่าป้าจะกลับสายอะไรเหรอครับ พอแกตอบมา เราก็เอ๊ะ นั่นมันรถ ปอ นี่ ผมก็หวังดีกลัวแกจะใช้เงินหมดเร็ว เลยแนะนำสายรถเมล์ธรรมดาไปให้ พร้อมยื่นตังค์ไปให้แก แกก็ยิ้มรับ แล้วบอกว่าขึ้นปอ ดีกว่า
..... โอ้วว รสนิยมหรูกว่าตูอีก ธรรมดาตูไปแถวนั้นนี่รถ ปอ ไม่ได้อยู่ในหัวเลย ใจตอนนั้นอยากจะขอแบงค์ยี่สิบคืนแล้วให้เหรียญสิบแทน แต่อ้อยเข้าปากช้างไปแล้ว จะไปแงะออกเดี๋ยวช้างตบหัวเอา เลยได้แต่ปลอบใจตัวเองว่า แกอาจจะลำบากมาทั้งวัน คงอยากสบายบ้าง หลังจากนั้นแกก็ชวนผมคุยนุ่นคุยนี่ไปเรื่อยเปื่อย เป็นเหมือนบริการคลายเหงาระหว่างรอรถเมล์ ผมคุยกับแกได้สักพักผมก็ต้องลาแกกลับบ้านเพราะรถเมล์ฟรีจากภาษีประชาชนผมมาแล้ว

จบแล้วครับเรื่องขอทาน อ่านพอขำๆ นะครับ แม้ว่าชีวิตจริงของขอทานจะไม่ขำเลยก็ตาม สำหรับเรื่องการช่วยเหลือคน ก็เป็นดุลยพินิจของแต่ละคนไป เอาตามสบายใจ แต่ขอเพียงอย่าปล่อยให้ใจเราแห้งเหือดจนมองคนที่ลำบากกว่าเป็นสิ่งมีชีวิตคนละประเภทกับเรา เพราะถ้าเป็นถึงขั้นนั้นแล้ว เราก็เป็นสิ่งมีชีวิตที่มีเพียงชีวิต.......เท่านั้นเอง


20090509 22:25
ดวง

Friday, February 20, 2009

ขอทาน Episode I

เคยให้เงินขอทานไหมครับ?
ผมเพิ่งให้เงินขอทานไปเมื่อไม่นานมานี้ หลังจากไม่เคยให้เป็นเวลานานพอสมควร...

ถ้าจะย้อนไปเรื่องความสัมพันธ์เกี่ยวกับขอทานของผมนั้น คงเริ่มต้นตอนสมัยยังเป็นนักเรียนประถมอยู่ครับ โดยตอนนั้นถ้าผมเจอขอทาน ผมก็จะให้บ้าง ตามแต่อารมณ์ แต่ก็จะมียายขอทานอยู่คนหนึ่ง แกมีฐานที่มั่นประจำอยู่บนสะพานลอยปากซอยโรงเรียนผม ซึ่งผมต้องข้ามไปกลับทุกวัน ผมจำได้ว่าผมไม่ได้รู้สึกว่าแกเป็นขอทานสักเท่าไร กลับรู้สึกว่าแกเป็นญาติผู้ใหญ่มากกว่า อาจเพราะรอยยิ้มที่เป็นมิตรและอบอุ่นของแก ด้วยความรู้สึกของผมต่อแกอย่างนั้น ทำให้แกเป็นขอทานคนแรกและคนเดียวในชีวิตผม ที่ผมผูกปิ่นโตด้วย คือผมจะให้เงินแกทุกวันตามแต่ที่ผมจะมี ซึ่งก็ไม่ได้มากมายอะไร เพราะสมัยนั้นผมได้เงินไปโรงเรียนวันละสิบกว่าบาท กินข้าว กินขนมก็เหลือแค่บาทสองบาทเก็บเอาไว้ให้แก ผมให้เป็นประจำถึงขนาดว่า เมื่อแกเห็นผมปุ๊บ แกก็จะยิ้มทักทายมาแต่ไกลอย่างเป็นมิตรทุกครั้ง

หลังจากผมจบประถม เส้นทางไปโรงเรียนของผมก็ได้เปลี่ยนไป...ผมไม่ได้ได้ขึ้นสะพานลอยนั้นอีกประมาณปีกว่าๆ ซึ่งเมื่อขึ้นไปอีกทีผมก็ไม่พบแกแล้วพร้อมๆ กับไม่ค่อยเจอขอทานอีก..... จนกระทั่งเรียนจบมหาวิทยาลัย

หลังจากเรียนจบ ผมได้เริ่มงานที่บริษัทฯ แถวสีลมครับ ซึ่งถ้าจะให้ผมเปรียบ สีลมนั้นก็ดั่งเป็นสาขาหนึ่งของพรรคกระยาจก โดยน่าจะมี Headquarter อยู่ที่อนุสาวรีย์ชัย เนื่องจากผมไม่ค่อยได้เจอขอทานเป็นเวลานาน ทำให้ผมประสบกับปัญหาหนึ่งเวลาเจอขอทานคือ ผมควรให้เงินขอทานหรือไม่ ปัญหานี้ค่อนข้างใหญ่สำหรับผมครับ....

สำหรับคนอ่านที่อาจนึกไม่ออกว่ามันจะเป็นปัญหาใหญ่ได้อย่างไร คืออย่างนี้ครับ ตอนนั้นเวลาผมจะให้เงินขอทาน ผมจะดูว่าเค้าจะเป็นขอทานที่ต้องการเงินเลี้ยงชีพ หรือเป็นขอทานที่ต้องการเงินเพื่อสร้างฐานะ เพื่อป้องกันการใช้เงินผิดวัตถุประสงค์ แต่ผมกลับพบว่าแนวทางนี้ไม่ง่ายในการปฏิบัติเลย เพราะเมื่อผมลงจากบันไดรถไฟฟ้าเวลาไปทำงาน ผมก็จะเจอยายคนนึง ซึ่งอายุน่าจะสักหกสิบได้ บวกกับหน้าตาน่าสงสารของแก จึงเหมาะแก่การให้มาก แต่เมื่อดูที่มือแกก็พบว่าจำนวนเงินที่ได้นั้นสามารถสร้างฐานะได้ทีเดียว ผมจึงตัดสินใจไม่ให้แก แต่กลับรู้สึกผิดในใจเวลาแกมองมา ถัดมาผมก็จะเจอวนิพกพร้อมเครื่องดนตรีต่างๆ แยกกันเป็นวงๆ บ้างเป็นสากล บ้างเป็นดนตรีไทย บ้างเป็นคลาสสิก และบ้างเป็นเพียงเศษไม้หรือกะลา เล่นใกล้ๆกันและพร้อมกัน ซึ่งมันทำให้ฟังไม่ออกว่ามันเพราะหรือไม่ แต่นั่นไม่ใช่ประเด็น เพราะโดยรวมแล้วก็น่าให้ตังค์อีกเช่นกัน เนื่องจากไม่ได้ขอเฉยๆ เล่นดนตรีแลกด้วย แต่ถ้าผมให้ผมก็ไม่ควรแยกให้เป็นรายๆ ไป เพราะเขาก็เล่นดนตรีแลกเงินเหมือนกัน และเล่นฟังไม่รู้ว่าเพราะหรือไม่ เหมือนกัน แต่จากการนับจำนวนวงดนตรีแล้ว ผมพบว่ามันสามารถเปิดมหกรรมคอนเสิร์ตได้สบายๆ และถ้าผมให้ ผมก็คงหมดตูดแน่นอน ดังนั้นผมจึงตัดสินใจไม่ให้ ซึ่งก็หมายความว่าไม่ให้ทั้งหมด พอเดินมาอีกผมก็จะพบขอทานอีกเรื่อยๆ ตามรายทางเป็นระยะๆ ให้ผมวิเคราะห์ว่าผมควรจะให้หรือไม่ให้ ผมพบว่าแนวทางนี้ทำผมเสียเวลาไปกับการวิเคราะห์และประเมินขอทานมาก และยิ่งเป็นสีลมที่อุดมไปด้วยขอทานหลากหลายแบบแล้ว ยิ่งทำให้ผมเสียเวลาและงงมากเกินความจำเป็น

ด้วยเหตุนี้ผมก็สรุปว่าผมควรจะต้องมีหลักง่ายๆ อะไรสักอย่างในการยึดตัดสินใจ เพื่อช่วยอำนวยความสะดวกในการประเมิน คิดไปคิดมา ก็ได้ทางออก โดยผมกำหนดขึ้นมาว่า ผมจะให้กับขอทานที่ดูแล้วช่วยเหลือตัวเองไม่ได้เท่านั้น เพราะขอทานประเภทนี้ไม่มีทางที่จะหาเงินได้โดยวิธีอื่นเลย นอกจากขอเงิน ดังนั้นจึงสมควรได้รับเงินสนับสนุนการดำรงชีวิตจากผม และอีกอย่างคือการมองว่าใครช่วยเหลือตัวเองไม่ได้มันง่ายมาก ดังนั้นแล้วขอทานที่สามารถเคลื่อนที่ไปใหนมาใหนได้อย่างแข็งแรง ไม่ว่าจะเป็นการเดินโดยใช้ขาเทียม หรือการเคลื่อนที่แบบแนวนอนไถลไปกับพื้นเรื่อยๆ ผมจะถือว่าแข็งแรงดี ไม่ควรต้องช่วยเหลือ เพราะถ้าให้ผมนอนแล้วไถลไปกับพื้นเรื่อยๆ อย่างแก ผมก็ทำไม่ได้ มันจำเป็นต้องใช้แรงมากทีเดียว ดังนั้นไม่ว่าแกจะร้องโอดโอย ครวญครางแค่ใหน แต่ตราบใดที่แกยังคงไถลไปกับพื้นไปมาอย่างเชี่ยวชาญ แกก็จะไม่มีวันได้ตังค์ผมแน่นอน

ผมพบว่าวิธีนี้เจ๋งมาก เพราะทำให้ผมไม่ต้องไปเสียเวลาคิดหน้าคิดหลังอะไรมากมาย ถ้าผ่านเกณฑ์ก็เอาตังค์ไปเลย ผมใช้วิธีนี้อยู่นาน จนกระทั่งวันหนึ่งที่ผมไปวัดกับครอบครัว และที่วัดนั้นผมไม่แน่ใจว่าโดนนิวเคลียร์ลงหรือไม่ เพราะพบว่ามีขอทานที่ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้มากมาย ผมได้แต่อุทานในใจว่า "โอ้โห....นี่ถ้าตูให้หมด ตูต้องลงไปขอทานด้วยแหงมๆ" สรุปว่าวันนั้นผมต้องยกเลิกการปฏิบัติตามธรรมเนียมส่วนตัวที่ตั้งไว้ แล้วผมก็ดันคิดได้อีกว่า "ในเมื่อแกช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ แล้วใครพาแกมาวะ" เมื่อคิดต่อ "มันต้องมีคนพามา แล้วไอ้คนนั้น มันก็ต้องแข็งแรงดีนี่หว่า ถึงพาแกมาได้" ด้วยเหตุนี้ผมจึงต้องมานั่งกลุ้มใหม่ว่าจะทำยังไงดี หลักที่ยึดไว้ก็ไม่เวิร์คแล้ว แล้วหลักใหม่ควรจะเป็นอย่างไร คิดไปคิดมาผมก็พบว่า ผมเสียเปรียบขอทานเต็มประตู เนื่องจากความไม่สมมาตรของการเปิดเผยข้อมูล คือขอทานจะรู้ว่ายังไงเราก็มีเงินให้เค้าแน่นอน แต่เราจะไม่รู้เลยว่าขอทานคนนั้นต้องการเงินเราเพื่อเลี้ยงชีพหรือสร้างฐานะ แน่นอนผมไม่สามารถที่จะทำให้ขอทานเปิดเผยออกมาได้ว่า เงินที่ได้จากเราจะไปใหน ดังนั้นเพื่อตัดปัญหาทั้งหมดผมจึงบอกกับตัวเองว่า ผมจะไม่ให้ขอทานคนใหนทั้งสิ้น

แล้วการตัดสินใจอย่างนี้ ก็นำผมไปสู่รูปแบบการตื้อของขอทานหลายประเภท โดยที่ทั้งหมดแล้วเป็นขอทานกองหน้า คือมีหน้าที่รุกอย่างเดียวไม่มีการตั้งรับ และเกือบทุกครั้งมักจะรุกตอนที่ผมกำลังกินข้าวอยู่ ยิ่งผมไม่ให้ก็จะยิ่งตื้อไม่ยอมไปใหน -*-

แต่โดยรวมก็ถือว่าสนุกครับอาจด้วยนิสัยชอบสังเกตและขี้เล่นของผม ทำให้พอจะสรุปขอทานกองหน้าออกมาได้เป็นประเภทๆ ดังนี้
ประเภทเบสิก ที่จะเป็นเด็กๆ หรือยายแก่ๆ ทำสายตาออดอ้อนน่าสงสาร หิวมากไม่ได้กินอะไรมาเลยก่อนมาเจอเรา (แน่นอนว่าจะไม่ยอมรับข้าวที่เราจะเลี้ยง)

ถัดมาจะกระเถิบสูงไปอีกหน่อยคือมาพร้อมของชำร่วยต่างๆ นาๆ ในราคาที่แพงกว่าปกติ ประเภทลูกอม ยาดม ทองม้วน และอีกมากมาย โดยเฉพาะท้องม้วนที่ผมมักจะสงสัยว่า ถ้าหิวทำไมยายไม่แกะทองม้วนของยายกินหล่ะครับ? หรือว่ายายถือคติไม่นำอัฐยายซื้อขนมยาย?

หรือจะเป็นเชิงรุกแบบพิการพูดไม่ได้ ที่มักจะมาพร้อมกับป้ายบอกความในใจ ซึ่งก็ไปกระตุ้นต่อมนิสัยเสียของผม ที่ชอบพิสูจน์อีกว่าพูดไม่ได้จริงหรือเปล่า เพราะส่วนใหญ่แล้วคนใบ้จะหูหนวกด้วย ผมก็จะลองแหย่โดยพูดอำแบบขำๆ สักอย่าง แล้วคอยดูปฏิกิริยา ซึ่งถ้าหัวเราะหรือยิ้มก็เสร็จผม แน่นอนผมมักจะแพ้ เพราะเค้ามักไม่หลุดออกมา(ไม่แน่ใจว่ามุขผมฝืดหรือเปล่า?) ที่ผมบอกว่าหลุดนั้น ผมเชื่อว่าเค้าไม่ได้ใบ้จริงๆ เนื่องจากเท่าที่ผมลองสังเกตคนใบ้จริงๆดู คนพวกนี้เค้าจะมีการเคลื่อนไหวร่างกายส่วนบนที่รวดเร็วกว่าคนปกติ คงด้วยความที่เค้าต้องใช้ภาษามือ ดังนั้นเค้าจึงต้องมีการเคลื่อนไหวส่วนบนอยู่ตลอดเวลาที่พูดคุย และมันทำให้เค้าเคลื่อนไหวได้เร็วโดยที่เค้าอาจไม่รู้ตัว แต่ขอทานที่มาพร้อมป้ายส่วนใหญ่นั้น มักจะเฉื่อยๆ เนือยๆ ผิดวิสัยคนใบ้ทั่วไป... อันนี้เป็นข้อสรุปส่วนตัวผมเอง ซึ่งมันอาจจะผิดก็ได้

หรือจะเป็นประเภทขอทานระดับเทพ คือนอกจากจะทำท่าทางให้น่าสงสารแล้ว ยังทุ่มทุนสร้างแบบที่คาดไม่ถึง คือวันนั้นผมไปเดินที่ใหนสักที่ แล้วก็มีผู้หญิงเดินเข้ามาขอเงิน ผมก็บอกไปตามปกติว่าให้ไม่ได้ แต่แล้ว.... เธอก็คุกเข่าลงต่อหน้า แล้วใส่อารมณ์พจมาน ร้องไห้ ฟูมฟายทันที เจออย่างนี้ผมก็เหวอเหมือนกัน แล้วก็ได้แต่คิดในใจ "เวรหล่ะสิ เอากันอย่างนี้เลยเหรอ?" ผมตกใจได้เพียงห้าวินาทีแล้วผมก็พบว่า ผมได้ให้เงินเธอไปแล้ว.... เหนือชั้นจริงๆ

ถัดมาเป็นขอทานประเภทรุกดุดัน ไม่กลัวใบแดงใบเหลือง...
จำได้ว่าวันนั้นผมกำลังยืนอ่านข่าวพาดหัวหนังสือพิมพ์ที่แผงหนังสือหนึ่งแถวอนุสาวรีย์ชัยฯ และขณะกำลังอ่านเล่มนุ้นเล่มนี้อย่างเพลิดเพลิน ก็มีอะไรสักอย่างมากระแทกที่หลังผมอย่างแรง เนื่องจากผมเป็นคนตัวค่อนข้างใหญ่ แรงที่ทำให้ผมรู้สึกว่าถูกกระแทกนั้นย่อมไม่ธรรมดา ในตอนแรกนั้นผมคิดว่าอาจจะเป็นเพื่อนทัก แต่ก็ลังเลเพราะผมไม่เคยโดยเพื่อนทักแรงอย่างนี้มาก่อน ผมจึงหันไปดู ปรากฏว่าสิ่งที่กระแทกผมนั้นเป็นมือของป้าคนนึง ที่ตอนนี้เปลี่ยนเป็นแบมือขอตังค์อยู่ แล้วแกก็พูดว่า "ขอตังค์ๆๆ" จำได้ว่าผมโมโหมาก เพราะป้าแข็งแรงอย่างนี้ยังจะขอตังค์อีก ด้วยความที่อารมณ์ขึ้น ผมจึงตอบแกไปอย่างห้วนๆว่า "ไม่ให้!!" แล้วก็เดินหนีแกทันที ปรากฏว่าแกดึงแขนเสื้อผมไว้ครับ ด้วยความที่แกแรงเยอะมากทำให้ตอนก้าวออกมาผมจึงไม่หลุดจากแรงดึงแก ผมยิ่งโมโหใหญ่ คิดในใจว่า "อย่างนี้แบกข้าวสารได้สบาย ยังมาขอตังค์อีก" แล้วก็สะบัดแขนแรงๆ เพื่อให้หลุดจากแก แล้วเดินไปเลย ผมมานั่งคิดหลังจากนั้นว่า ถ้าคนที่โดนเป็นผู้หญิงตัวเล็กๆ จะเจ็บขนาดใหน แล้วจะหนีแกพ้นอย่างที่ผมทำได้หรือเปล่า เลยเถิดไปถึงเรื่องว่า แกเอาเงินที่ได้ไปเข้าฟิตเนสป่าววะ ??

ที่จริงผมยังมีขอทานที่อยากจะเล่าอีกหลายรูปแบบทีเดียว แต่เห็นว่าพิมพ์มาเยอะแล้ว ดังนั้นถ้าแบ่งเป็นอีกตอนน่าจะทำให้อ่านกันได้ง่ายกว่า ผมจึงขอยกยอดที่เหลือไว้คราวหน้าอีกตอนนะครับ คงไม่ว่ากัน ^^

20090220 1:32
ดวง

 
Creative Commons License
This work is licensed under a Creative Commons Attribution-Noncommercial 3.0 Thailand License.