Wednesday, August 1, 2007

ลาว กับ จิต

เพิ่งกลับมาจากลาวครับ...

ช่วงเข้าพรรษาที่ผ่านมาเห็นว่าน่าจะเป็นการดีที่จะมีโอกาสทำบุญพร้อมกับเที่ยวไปด้วย เลยตัดสินใจไปหลวงพระบางเพื่อใส่บาตรพร้อมกับเดินชมวัดไปในตัว
เที่ยวครั้งนี้เป็นการตัดสินใจแบบปุบปับก่อนวันไปสามวันและแทบจะไม่ได้เตรียมตัวอะไรเลยครับ คงจะมีเพียงตั๋วรถไฟไปลงหนองคายเท่านั้นที่มีการจองไว้ก่อน ส่วนที่เหลือเรียกได้ว่าไปตายดาบหน้าจริงๆ เป็นการเล่นแบบแผลงๆพอสมควร เลยทำให้เที่ยวครั้งนี้ทุลักทุเลมาก... มากเสียจนเสียวว่าจะกลับเมืองไทยไม่ได้ไปหลายครั้งหลายครา

แต่ในทางกลับกัน ความทุลักทุเลก็ทำให้เที่ยวครั้งนี้มีชีวิตชีวาไม่น้อย ได้ไปอยู่ในที่ๆไม่มีนักท่องเที่ยวอยู่ ได้คุยกับคนที่นั่นอย่างสบายๆ กันเองๆ ได้สนุกและดื่มด่ำกับความงามของธรรมชาติเมืองลาวอย่างที่ไม่รู้จะหาคำพูดมาอธิบายอย่างไรถูก

ถ้าเราไม่ปิดใจ เมื่อเราพลาดสิ่งหนึ่งไปเราจะเห็นว่าเราจะได้อีกสิ่งหนึ่งมาทดแทนทุกครั้ง...
เมื่อผมจะต้องออกเดินทางจากเวียงจันทน์ไปหลวงพระบาง ผมพลาดรถแอร์อย่างดีเที่ยวเช้าไป แต่ได้รถโทรมๆ ไม่มีแอร์เที่ยวบ่ายมาแทน ความรู้สึกแรก เราไม่น่าพลาดเลย...

สองชั่วโมงถัดไป... ในขณะนั่งผมพบว่าวันนี้เป็นวันเสาร์ที่มีความสุขมากที่สุดวันหนึ่งของชีวิต ภายใต้บรรยากาศครึ้มๆ มีละอองฝนโปรยปรายมาเป็นระยะๆผสมกับกลิ่นไอดินที่ผมชอบ เคล้าลมเย็นๆที่พัดมาตลอดเวลา แถมยังรายล้อมด้วยเทือกเขาที่สลับซับซ้อนสวยงาม ทุกสิ่งทุกอย่างในเวลานั้น เป็นสิ่งที่ผมชอบทั้งหมด ทั้งสิ้น และไม่เคยได้มีโอกาสสัมผัสแบบครบอย่างนี้มาก่อน

ในขณะนั้นรถโทรมๆ เบาะเก่าๆ สำหรับผมแล้วมันได้กลายเป็นรถที่วิเศษสุดจริงๆ

ย้อนกลับมาคิดดู ถ้าผมนั่งรถแอร์เที่ยวเช้า ผมคงไม่ได้สัมผัสกับละอองน้ำ คงไม่ได้กลิ่นไอดิน คงไม่ได้รับลมเย็นๆ และคงรู้สึกเหมือนการเดินทางทั่วๆไปในวันธรรมดาวันหนึ่ง

ถ้าจะเรียกว่าเป็นการพลาดอย่างโชคดีก็คงจะไม่ผิดนัก แต่ไม่ว่าพลาดแล้วจะเจอสิ่งใด มันคงจะดีกว่าไหมที่จะพร้อมเจอสิ่งที่มาทดแทนด้วยรอยยิ้ม แล้วอยู่กับสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นให้มีความสุข แทนที่จะรำพึงรำพันกับสิ่งที่พลาดไปโดยไม่ได้อะไรขึ้นมา

จริงอยู่บางอย่างแม้ยิ้มรับ ก็คงรู้สึกว่าเกินจะทนไหว แต่ถ้าให้เลือกระหว่างที่จะต้องหงุดหงิด ตีโพยตีพายกับความทุกข์ยากที่ตนเองจะต้องเผชิญ กับการทนที่จะฝืนยิ้มรับมันเพื่อให้ใจเรานิ่งพอที่จะพิจรณาหาทางออกที่ดีกว่า ผมคงเลือกอย่างหลัง...

ถ้าจิดไม่สงบแล้ว ปัญญาคงยากที่จะเกิด พระท่านว่าอย่างนั้น

ปกติผมเป็นคนชอบที่จะอยู่กับความสวยงามของสิ่งที่ธรรมชาติสร้างมากกว่ามนุษย์สร้างอยู่แล้ว ดังนั้นแม้ว่าหลวงพระบางจะประกอบด้วยตึกรามบ้านช่อง และวัดวาอารามที่เป็นของเก่าบูรณะ อย่างสวยงาม ตามที่เป็นเมืองมรดกโลกก็ไม่ได้ดึงดูดใจผมได้นานสักเท่าไร เดินดูสักพักก็รู้สึกอิ่ม แต่สิ่งเดียวที่มนุษย์สร้างแล้วดึงดูดใจในหลวงพระบางเห็นจะเป็นสตรี สวยจนอยากอยู่ต่อ

เงาะเมืองไทยโลละ 20 บาท หลวงพระบางโลละ 40 บาท ตอนซื้อไม่ได้สนว่าเป็นราคาแพงหรือเปล่า หลับหูหลับตาซื้อมาเนื่องด้วยเหตุปัจจัยมาจากแม่ค้าอย่างเดียว สวยบาดใจจริงๆ เขาว่าความรักทำให้คนตาบอด แต่เห็นจะต้องเพิ่มเข้าไปด้วยว่าความหลงทำให้สมองส่วนประมวลเหตุผลไม่ทำงาน ไม่ได้อยากกินเงาะแต่ซื้อเงาะ ตอนซื้อก็เขินซะจนทำอะไรไม่ถูก รับมาจ่ายตังค์แล้วเดินออกทันที คิดไม่ออกว่าควรจะทำอย่างไร...

อืม... ถ้าจิตไม่สงบแล้ว ปัญญาคงยากที่จะเกิด :-)






ดวง
20070805 12:38

5 comments:

Anonymous said...

อ่านจบแล้วอยากออกตัวไปเที่ยวบ้างจัง..

เรื่องเงาะพอใจเข้าใจค่ะ..คิคิ
เป็นลูกค้าประจำร้านตัดผม (เจ้าของหล่อ)
แต่คราวนี้ทำเราเจ็บ..หึหึ

Odysseus said...

ไม่ได้เจอกันนานจนเริ่มนึกหน้าไม่ออก
ถ้าจะดีที่จะส่งรูปมาให้ดูกัน
ถ้าจะดียิ่งกว่าถ้ารูปนั้นเป็นรูปคู่...
คู่กับทรงผมใหม่หน่ะ :-)

ikke said...

ช่วงการเดินทางที่ทุกลักทุเลระหว่างเวียงจันทร์ไปหลวงพระบางโดยรถโทรม ๆ ที่ว่ากับระหว่างหลวงพระบางไปเชียงของโดยเรือหางยาว เป็นช่วงที่ดีที่สุดช่วงหนึ่งในลาว แต่จริง ๆ แล้วทุกนาทีในลาวกลับมีค่าจนอยากจะหยุดมันไว้อย่างนั้น ถ้าไม่มีภาระทางหัวใจรออยู่ที่เมืองไทย

Odysseus said...

ขอบคุณสำหรับพี่และเพื่อนร่วมทางที่ดีครับ ;-)

golfreeze said...

ความสงบอยู่หนใด....


 
Creative Commons License
This work is licensed under a Creative Commons Attribution-Noncommercial 3.0 Thailand License.