Thursday, July 12, 2007

"ของขวัญ"

เนื่องด้วยที่ทำงานผมอยู่ย่านใจกลางเมือง แต่โดยนิสัยส่วนตัวนั้นเป็นพวกชอบอยู่อย่างเรียบง่าย สบายๆ จึงทำให้ผมรู้สึกอึดอัดไม่น้อยที่ต้องอยู่ท่ามกลางคนปริมาณมาก เมื่อคนมากมลพิษทางเสียง ทางอากาศ และหลายๆครั้งที่เป็นทางสายตาก็เพิ่มมากขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

ซ้ำเมื่ออาหาร เครื่องดื่มหรือแม้กระทั่งบริการมีไม่เพียงพอในยามที่ทุกๆที่ได้เวลาพัก กลไกตลาดจึงทำงานอย่างขันแข็งให้ข้าวของแพงขึ้น และปริมาณลดน้อยลงเมื่อเทียบกับท้องที่อื่น จริงอยู่ของดีราคาสมเหตุสมผลก็พอมีให้เสาะหากันได้ แต่เนื่องจากเวลาพักเป็นตัวจำกัด ทำให้บ่อยครั้งการแย่งชิงเองเป็นสิ่งทีปฏิเสธไม่ได้เช่นกัน

ย้อนมองดูตัวเองก็เศร้าใจ ในเมื่อมลพิษที่รังเกียจนักรังเกียจหนา ตัวเองก็มีส่วนสร้างอยู่ไม่น้อย การแย่งชิงเองในบางครั้งก็มีส่วนร่วม ในเมื่อใจก็ไม่ชอบสิ่งแวดล้อมอย่างนี้แต่ก็ยังคงทำงานอยู่มาได้ตั้งนมนาน และนานพอที่จะทำให้บ่อยครั้งรู้สึกว่าฝุ่นละอองเป็นเรื่องปกติ ขยะเป็นเรื่องธรรมดา ซึ่งกว่าจะได้สติก็ตอนออกไปท่องเที่ยวแล้วทำให้รู้ว่าอากาศที่สะอาดเป็นอย่างไร และธรรมชาติน่าอยู่ด้วยเพียงใด

ถ้าไม่มีงานที่สนุก เพื่อน พ้อง น้อง พี่ ที่น่ารัก เป็นตัวแปรสำคัญ ผมคงอยู่อย่างนี้ได้ไม่นานอย่างที่เป็น และถ้าไม่ได้รถไฟฟ้าทั้งบนดิน ใต้ดิน ผมก็คิดไม่ออกเหมือนกันว่าจะทนกับสภาพจราจรเวลาเดินทางไป กลับ ได้มากน้อยเพียงใด

ด้วยความสะดวกรวดเร็วของรถไฟฟ้า ทำให้ชีวิตวันทำงานและไม่ทำงานของผม มักจะฝากการเดินทางไว้ด้วยอยู่เป็นประจำ โดยสารชำนาญถึงขั้นรู้ว่าควรจะวิ่ง เดินเร็ว หรือเดินเนือยๆสบายอารมณ์จากที่ขายตั๋วถึงชานชาลา ถึงจะขึ้นรถไฟฟ้าได้ทันเวลา แบบพอดีเป๊ะๆ หรือแม้กระทั่งควรจะเข้าประตูใหนของขบวนแล้วทำให้ออกมาตรงบันไดชานชาลาพอดี ไม่ต้องเดินไกล

แต่ความสะดวกสบายในการเดินทางลดน้อยลงหลังจากเกิดเหตุการณ์วางระเบิดในกรุงเทพช่วงวันปีใหม่ จนมีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บไปหลายคน ทำให้ผมเริ่มได้เห็น รปภ ยืนประจำทุกทางเข้าออกของรถไฟฟ้าใต้ดิน เพื่อตรวจสัมภาระก่อนเข้าใช้บริการ

สำหรับคนที่ไม่ค่อยมีสัมภาระอะไรอย่างผมนอกจากเป้สะพายหลังที่มีแต่หนังสือและกระดาษนิดหน่อย จึงยินดีเปิดให้ค้นเจอของเดิมทุกวันอย่างไม่อิดออด และไม่รู้สึกอะไรกับมาตราการนี้สักเท่าไรจะกระทั่งวันนี้...

วันที่ผมเห็นผู้หญิงคนหนึ่งยืนแกะกระดาษห่อกล่องของขวัญอย่างบรรจง เพื่อให้ รปภ ตรวจค้นของที่อยู่ภายใต้กล่องและกระดาษห่อ ของขวัญที่เป็นตัวกลางส่งความสุขถึงผู้รับ คงสูญเสียความเป็นของขวัญของตัวมันเองไปจนหมด ในเมื่อผู้ส่งคงไม่เหลือความสุขไปส่งต่ออีกแล้ว

จากภาพที่เห็นนอกจากจะทำให้ผมเห็นใจผู้หญิงคนนั้นขึ้นมาจับใจแล้ว ยังทำให้ผมหดหู่ใจและต้องถามตัวเองอย่างจริงๆจังๆ ว่าเกิดอะไรขึ้นกับสังคมของเรา ผมไม่ได้โกรธหรือเกลียดอะไรกับมาตราการรักษาความปลอดภัยหรือความเข้มงวดของ รปภ ด้วยความเข้าใจว่าเป็นไปตามการป้องกันเหตุที่จะเกิด แต่คำถามที่ผมถามตัวเองนั้นยังให้เกิดคำถามตามมาอีกว่า ก่อนที่เขาจะฆ่าหรือทำร้ายคนที่ไม่เคยทำอะไรให้เขาโกรธเกลียด เขาคิดอะไรอยู่ เขามีเหตุผลอะไรอยู่ในใจ

เราได้รับข่าวจากเหตุการณ์ฆ่ากันตายทุกวันในสามจังหวัดภาคใต้ จนเริ่มกลายเป็นข่าวสารในชีวิตประจำวันธรรมดาข่าวหนึ่ง ทั้งๆที่คนที่ถูกฆ่าตายนั้นไม่สมควรที่จะตายเลย

คงยากที่จะล่วงรู้ถึงเหตุผลหรือไม่มีเหตุผลของผู้กระทำ ที่อาจจะมาจากจุดประสงค์บางอย่าง อุดมการณ์ หรือเอาเข้าจริงๆแล้วเขาอาจหาไม่จะไม่รู้เลยว่าตัวเองฆ่าคนไปเพราะเหตุใด
แต่คงไม่ยากที่จะบอกว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็แล้วแต่ก็ไม่ควรจะมีใครตาย ไม่ควรจะต้องมีใครสูญเสีย หรือได้รับความทุกข์ร้อน ในเมื่อเขาเหล่านั้นไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องด้วยเลย หรือแม้คนที่เกี่ยวข้องเขาสมควรที่จะได้รับโทษเป็นความตายหรือ



ผมไม่รู้ว่าจวบจนเมื่อไหร่ผมถึงจะหาคำตอบของคำถามที่ตั้งไว้กับตัวเองได้


ผมไม่รู้ว่ากล่องของขวัญนั้นจะถึงผู้รับด้วยสภาพอย่างไร


ผมไม่รู้ว่าคนรับจะรู้สึกอย่างไรเมื่อคนแรกที่ได้เห็นของขวัญในกล่องหลังจากห่อนั้น ไม่ใช่เค้าแต่เป็นรปภ


แต่ตอนนี้ผมรู้เพียงแค่ว่า...ถ้าเราเลิกฆ่ากัน ทำร้ายกัน มันจะกลายเป็นของขวัญที่ดีที่สุดที่ส่งมาหาเราทุกคน...




ดวง
20070712 23:12

3 comments:

Anonymous said...

ใช่แล้วค่ะ..
มันเกิดอะไรขึ้นในสังคม...

Unknown said...

หวังว่าิีิอีกไม่นาน มันคงจะดีขึ้น กว่านี้

อิอิ

Jenosize said...

ของขวัญวันเกิด ของพรีเมี่ยม อยากให้สังคมสงบสุข


 
Creative Commons License
This work is licensed under a Creative Commons Attribution-Noncommercial 3.0 Thailand License.