Saturday, February 17, 2007

หลงควัน(รัก) วาเลนไทน์

ควันหลง วาเลนไทน์

" ภายใต้การปกครองของจักรพรรดิคลอดิอุสที่สอง (Claudius II) นั้น กรุงโรมได้เกิดสงครามหลาย ครั้ง และคลอดิอุสเองก็ประสบกับปัญหาในการที่จะหาทหารจำนวนมากมายมหาศาลมาเข้าร่วมในศึกสงคราม และเขาเชื่อว่าเหตุผลสำคัญก็คือ ผู้ชายโรมันหลายคนไม่ต้องการจากครอบครัวและคนอันเป็นที่รักไป และด้วยเหตุผลนี้เอง ทำให้จักรพรรดิคลอดิอุสประกาศให้ยกเลิกงานแต่งงานและงานหมั้นทั้งหมดในกรุงโรม ถึงกระนั้นก็ตาม ยังมีนักบุญผู้ใจดีคนหนึ่งซึ่งชื่อว่า ท่านนักบุญวาเลนไทน์ ท่านเป็นพระที่กรุงโรมในสมัยของจักรพรรดิคลอดิอุสที่สอง ท่านนักบุญวาเลนไทน์ และนักบุญมาริอุส ได้จัดตั้งกลุ่มองค์กรเล็ก ๆ เพื่อช่วยเหลือชาวคริสเตียนที่ตกทุกข์ได้ยากเหล่านี้ และได้จัดให้มีการแต่งงานของคู่รักอย่างลับ ๆ ด้วย

และจากการกระทำเหล่านี้เอง ทำให้นักบุญวาเลนไทน์ถูกจับและถูกตัดสินประหารโดยการตัดศรีษะ ในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ ประมาณปีคริสต์ศักราชที่ 270 ซึ่งถือเป็นวันที่ท่านได้ทนทุกข์ทรมานและเสียสละเพื่อเพื่อนมนุษย์ "

ประวัติต้นกำเนิดวันวาเลนไทน์หลักๆอยู่ 2 ทางซึ่งทางที่ผมคัดลอกเอาลงมานั้นเป็นประวัติที่จับต้องได้และเข้าถึงได้มากกว่า อ่านเล่นๆได้ที่นี่

ผมดีใจครับที่โลกเรามีวันที่เป็นวันสำหรับความรู้สึกอยู่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งความรู้สึกที่เรียกว่ารัก เพราะอะไรหน่ะหรือครับ ถ้าเราสังเกตดูจะพบว่าวันสำคัญส่วนใหญ่ไม่ว่าจะเป็นประเทศใหนจะเน้นไปที่การระลึกถึงบุคคล หรือเหตุการณ์เป็นหลัก ดังนั้นถ้าเราจะมีวันที่เป็นวันสำคัญอย่างความรักซึ่งเป็นความรู้สึกที่อยู่ในจิตใจมนุษย์ทั้งมวล แม้ว่าจะเน้นไปที่ความรักระหว่างเพศตรงข้ามหรือรวมถึงเพศเดียวกันในปัจจุบัน แต่มันทำให้ผมรู้สึกว่าโลกเราก็โรแมนติกและน่ารักดีเหมือนกัน ซึ่งถ้าว่ากันในประวัติแล้วนั้น วันวาเลนไทน์เองก็ไม่ได้เป็นวันแห่งความรู้สึกตั้งแต่ต้น เพราะอาจจะเป็นวันที่นักบุญวาเลนไทน์เสียชีวิตตามที่มีเรื่องเล่ามา และถ้าเรื่องเล่าเป็นจริง ผมเข้าใจว่าในช่วงหลังเหตุการณ์ไม่นานวันวาเลนไทน์น่าจะเป็นการผสมผสานกันระหว่างการแสดงความรักต่อคนรอบข้าง
เข้ากับการระลึกถึงนักบุญวาเลนไทน์ไปด้วยควบคู่กัน แต่การเดินทางทางวัฒนธรรมไปยังพื้นที่ต่างๆ ผ่านการก้าวเดินบนทางของกาลเวลา ทำให้เป็นการยากที่กลุ่มคนที่รับและซึมซับจากวัฒนธรรมที่เดินทางมาถึงนั้น หรือกลุ่มคนรุ่นถัดไป จะระลึกถึงนักบุญวาเลนไทน์ ซึ่งเป็นใครก็ไม่รู้และไม่มีความเกี่ยวข้องกับเขาแต่อย่างใด ในขณะที่ความรักซึ่งเดินทางมาพร้อมกัน สามารถที่จะต่อเชื่อมโยงกับใจมนุษย์ทุกคนได้ง่ายดาย จึงไม่แปลกที่ความรักจะสามารถอยู่รอดและเติบโตขึ้นอย่างแข็งแรง จนวันวาเลนไทน์เป็นแห่งความรักสากลสำหรับคนทั้งโลก

แต่ในอีกแง่หนึ่ง...
ในวันวาเลนไทน์...สำหรับคนโสดนั้น นับว่าเป็นวันที่ทรมานจิดใจเป็นอย่างยิ่ง
ผมเป็นหนึ่งในกลุ่มคนที่ทรมานจิตใจครับ
โดยพื้นเพผมเป็นคนที่รักสันโดษพอสมควร ดังนั้นกับการที่อยู่คนเดียว ไปใหนมาใหนคนเดียว
หรือแม้กระทั่งดูหนังคนเดียวในโรงหนังที่มักจะประกอบด้วยกลุ่มของคู่รักหรือกลุ่มของเพื่อนซะส่วนใหญ่
ก็ไม่ทำให้ผมรู้สึกว่าชีวิตตัวเองเปล่าเปลี่ยว ห่อเหี่ยว เดียวดาย อะไรเท่าไหร่...
ดังนั้นในหนึ่งปีผมสามารถอยู่คนเดียวได้อย่างสบายประมาณ 360 วัน
เหลือ 5 วัน !!!!!
วันวาเลนไทน์เป็นหนึ่งในห้าวันอรหันต์นั้นแน่นอนครับ
เนื่องด้วยจะต้องเห็นคู่รักแสดงความรัก ในปริมาณและคุณภาพที่เยอะกว่าวันอื่นๆ ตลอดเวลา
และเมื่อหนีกลับมาอยู่ที่บ้านยังคงโดนจ้วงซ้ำจากข่าว หรือรายการทีวี ที่คอยนำเสนอทิ่มแทงอย่างไร้ความปราณี
เล่นเอาหัวใจเกิดอาการเหงาขึ้นมาอย่างเฉียบพลัน ซึ่งเป็นอาการของโรคเปลี่ยวใจครับ...
ในบางคนทนทรมานจากโรคเปลี่ยวใจไม่ไหว ก็จะเริ่มที่จะดั้งด้นไปหาหมอให้จ่ายยาที่ชื่อความรักให้
แม้ว่ายาจะมีผลข้างเคียงต่างๆนาๆ ที่อาจเกิดขึ้นได้ เช่น จะร้องไห้ในบางวัน มีอาการซึมเศร้าและความรู้สึกขุ่นมัวบางขณะ
หรือบางรายจะมีรอยฟกช้ำตามร่างกายเนื่องจากไปรับยา จากหลายๆที่โดยไม่แจ้งให้หมอเจ้าของไข้ได้รับทราบ
ซึ่งใน case ที่หนักจริงๆนั้นหมอจะเลิกจ่ายยาให้ ทำให้ต้องกลับมาเป็นโรคเปลี่ยวใจตามเดิม...

วันวาเลนไทน์ปีก่อนๆหน้านี้ ผมเป็นโรคเปลี่ยวใจมาตลอด แต่ยังดื้อไม่ยอมไปหาหมอ
แต่ในปีนี้ผมรู้สึกว่าโรคเปลี่ยวใจได้หายไปแล้วครับ ซ้ำยังรู้สึกอมยิ้มในใจขึ้นมาอีกด้วย
ไม่ใช่ว่าผมได้รับยาจากหมอแล้วหรอกครับ แต่เป็นแม่บ้านที่ทำให้ผมรู้สึกอย่างนี้ต่างหาก
ขอย้ำนะครับว่าหมอคือหมอ แม่บ้านคือแม่บ้าน :-)

เรื่องเป็นอย่างนี้ครับ... ปกติผมจะวิ่งออกกำลังกายตอนเย็นหลังเลิกงานอยู่เสมอที่สวนลุม
วันที่วิ่งก็จะวิ่งทุกวันจันทร์กับวันพุธเป็นหลัก
พุธที่ 14 กุมภาผมก็ออกไปวิ่งตามปกติ ซึ่งตอนวิ่งนั้นผมเกิดอาการของโรคเปลี่ยวใจเป็นระยะๆ
จากภาพคู่รักในปริมาณที่เยอะกว่าวันใหนๆ กระจายคลุมพื้นที่สวนลุม
ผมพยายามเลี่ยงที่จะมองทิวทัศน์รอบตัวเหมือนอย่างเคย โดยเปลี่ยนเป็นมองพื้นแทน
หลังจากวิ่งเสร็จแล้ว และกำลังเดินกลับออฟฟิศตามปกติ
ในขณะเดินอยู่นั้นผมเจอผู้หญิงในชุดยูนิฟอร์มแม่บ้านคนหนึ่งกำลังเดินสวนมาทางผม
มือขวาเธอถือกุหลาบ มือซ้ายถือโทรศัพท์ พร้อมด้วยทีท่าที่เหมือนกำลังอ่าน message จากคนรักอยู่
ผมสะดุดที่รอยยิ้มของเธอครับ มันเป็นรอยยิ้มของผู้หญิงคนหนึ่งที่มีความรักห่อหุ้มใจอยู่
เป็นรอยยิ้มที่ทำให้ผมเชื่อว่าเธอรักผู้ชายที่ส่ง message มาหาเธอมาก
ผมเผลอยิ้มตามเธอครับ ...
เธอทำให้ผมค้นพบว่าวันนี้เป็นวันที่สวยงามจริงๆ มองไปทางใหนก็จะเจอแต่คนที่มีความสุข มีความรัก
แล้วทำไมผมต้องเอาสิ่งที่เจอ มาทำให้หัวใจห่อเหี่ยวมาตั้งนาน
หลังจากนั้น ผมเดินทางกลับด้วยความรู้สึกต่างจากวันวันวาเลนไทน์ปีก่อนๆ
ผมไม่มองพื้นอีกต่อไป และก้าวเดินด้วยใจที่อมยิ้มอย่างมีความสุข พร้อมกับความคิดที่ว่า
"ผมหลงควันรักวันวาเลนไทน์เข้าแล้วสิ"






ดวง
20070217 11:23

Thursday, February 8, 2007

ไออุ่นลาวใต้ ตอน 3

ก่อนเดินทาง #3

ตามที่ได้เกริ่นๆ ไว้ในตอนก่อนหน้าว่าการเดินทางครั้งนี้เป็นการเดินทางคนเดียวครั้งแรกของผม
ซึ่งการตัดสินใจครั้งนี้ผมคิดเอง เออเองตั้งแต่ต้น ไม่ได้ปรึกษาผู้อื่นแต่อย่างใด
โดยเฉพาะครอบครัว... โดยปกตินั้นเวลาผมจะไปใหนผมจะบอกครอบครัวผมเสมอ
ว่าจะไปที่ใหน กับใคร ไปกี่วัน เดินทางอย่างไร พักแบบใหน ฯลฯ
เป็นการลดความกังวลของผู้คนในครอบครัวครับ...

แต่ครั้งนี้... เมื่อจำเป็นต้องแจ้งให้คนในครอบครัวทราบ
ผมเลือกที่จะเบี่ยงเบนประเด็น เปลี่ยนเรื่อง และตอบให้สั้น
เพื่อเป็นการจบการสนทนาในเรื่องนี้ให้เร็วที่สุด...
และไม่เป็นฝ่ายเล่าให้ฟังเหมือนทุกครั้ง แต่จะนิ่งรอคำถามอย่างเดียว

ปกติแล้ว ผมจะไม่โกหกใครไม่ว่าจะเรื่องอะไร หรือว่าคุยกับใคร(แต่ถ้าอำหนุกๆ นี่อีกเรื่อง อิอิ)
ผมถือว่าการไม่โกหกว่าเป็นการให้เกียรติ และแสดงความจริงใจกับผู้ที่สนทนา
และประเด็นสำคัญผมเป็นคนขี้ลืม...ดังนั้นถ้าผมโกหกอะไรไป แล้วเกิดจำไม่ได้ขึ้นมา
หึๆๆ หายนะมาเยือนแน่นอน...

แม้ว่าเบี่ยงเบนประเด็น เปลี่ยนเรื่อง และตอบให้สั้นนั้น จะช่วยได้
แต่ก็ไม่สามารถเอาตัวรอดจากบางคำถามได้
เช่น ไปกับใคร? ไปกันกี่คน? คำถามอย่างนี้ไม่ควรที่จะเบี่ยงเบน หรือเปลี่ยนเรื่อง
เพราะจะทำให้มีพิรุธ โชคร้ายโดนจับได้ขึ้นมาคงได้เที่ยวลาวทางหนังสือแทนแน่นอน...

เมื่อเจอคำถามอย่างนี้ ไม่มีทางอื่นต้องโกหกเอาตัวรอดไปเที่ยวให้ได้ก่อน
หนึ่งในบทสนทนา
แม่:: ไปกี่วันหล่ะ?
ผม:: ไม่เกินสัปดาห์แม่
แม่:: นอนที่ใหนหล่ะ
ผม:: รีสอรต์เหมือนเดิม (ยังไม่ได้จองอะไรเลยและเหมือนเดิมอะไร???)
แม่:: ไปกับใคร?
ผม:: อืม ก็กลุ่มเดิมหน่ะแม่ (กลุ่มใหน????)
ปกติช่วงปีใหม่ผมจะไปเที่ยวกับเพื่อนที่ลาดกระบังทุกปี << แม่คงเข้าใจว่ากลุ่มนี้
แม่:: ไปกี่คนหล่ะ
ผม:: หลายคนแม่ ยังสรุปไม่ได้ (นึกไม่ทัน!)

แม่มึนในความคลุมเครือของคำตอบผมอยู่ชั่วขณะ
และผมก็เริ่มเซในหมัดชุดของแม่เหมือนกัน เกรงว่าจะยืนครบยกไม่ไหว
จังหว่ะนี้หล่ะ...
เพื่อเป็นการป้องกันการโดนน๊อกเอาท์จากมารดา ผมก็เริ่มที่จะดึงวิชามวยมาใช้
โดยการเร่งซอยเท้าฟุตเวิร์ก สไลด์ตัวหลบฉากออกมา...
ด้วยศักดิ์ศรี...ไม่มีการยกธงขาว แต่กล่าวลาแม่ตอนหลบออกมาว่า
"ปวดขี้" แล้วหนีเข้าห้องน้ำไป





ดวง
20070208 11:10

Tuesday, February 6, 2007

ไออุ่นลาวใต้ ตอน 2

ก่อนเดินทาง #2

หลังจากได้ทำการจองรถเป็นที่เรียบร้อย
ได้เริ่มเก็บข้อมูลรายละเอียด ที่พัก การเดินทาง
ค่าใช้จ่าย และวิธีการเดินทางข้ามประเทศ
พบว่า...ไทยกับลาวได้มีข้อตกลง ร่วมที่จะไม่ต้องใช้วีซ่าแล้ว
ทำให้มีเพียงแค่ Passport เท่านั้นก็สามารถข้ามประเทศได้

ในกรณีของผู้ที่ไม่มี passport จะต้องไปทำใบผ่านข้ามแดนที่ศาลากลางจังหวัดอุบล
โดยที่มีข้อจำกัดว่าจะอยู่ลาวได้เพียงแค่ 3 วัน
ถ้าอยู่เกินจะต้องเสียค่าปรับตามข้อกำหนด
แต่ถ้ามี passport นั้นจะอยู่ได้ถึงหนึ่งเดือน

หลังจากที่หาข้อมูลที่จำเป็นได้เรียบร้อย จึงวางแผนการเดินทางต่อ
ผมวางไว้ว่าจะอยู่อุบลประมาณ 2 วัน และลาวอีก 4 วัน
คำนวนค่าใช้จ่ายคร่าวๆนั้น
ตอนอยู่อุบลผมจะไม่ต้องเสียค่าที่พักเนื่องจากสามารถนอนห้องดำได้
ส่วนค่าที่จะเสียนั้น จะเป็น ค่าอาหาร ค่าเดินทาง ค่าที่พักที่ลาว
และค่าเข้าชมสถานที่ท่องเที่ยว
อืม... ประมาณ 4000 บาทไม่น่าเกิน

วันที่ผมออกเดินทางนั้นเป็นวันคริสต์มาสครับ
ตั้งแต่เด็กผมไม่เคยเชื่อเรื่องซานต้าครอสเลย คงจะเป็นเพราะ
ประเทศไทยเป็นประเทศพุทธ การปลูกฝังเรื่องนี้มีน้อยมาก
ที่สำคัญ... บ้านในเมืองไทยไม่มีปล่องไฟ ซานต้าจะเข้ามาอย่างไร
ในกรณีถ้ามีจริงๆ ขืนซานต้าจำเป็นต้องงัดหน้าต่างเข้ามาแทน
มีหวังคงโดนบ้านผมตีหัวแตก เพราะคิดว่าเป็นขโมยเป็นแน่แท้

ในวันออกเดินทางนั้น ผมลางานครึ่งวันบ่ายครับ เพื่อมาเก็บของและเตรียมตัวเตรียมใจ
เก็บสักชั่วโมงข้าวของที่จำเป็นถูกนำเก็บเข้าเป้ใบใหญ่อย่างเรียบร้อยแต่.....ใจยังไม่เรียบร้อย
มีเวลาเหลือประมาณ 3 ชม........
ผมเดินไปที่ชั้นหนังสือเพื่อเลือกหนังสือไปอ่านที่ลาว ว่าจะเอาไปสัก 2 เล่ม
ได้เรื่องสวรรค์ชั้นประหยัดของ คุณวิทวัส โปษยะจินดา และ แก่นพุทธศาสน์ ของท่านพุทธทาส
และบังเอิญไปเจอหนังสือของคุณนิ้วกลม
"โตเกียวไม่มีขา" เก็บมานานยังไม่มีโอกาศได้อ่าน ดูแล้วไม่น่าใช้เวลาอ่านนาน
จึงหยิบลองมาอ่านๆดู ในช่วงที่ยังมีเวลาเหลืออยู่ และยังไม่รู้จะทำอะไร
................. 30 นาทีผ่านไป ..........................

อื้มมมมมมมมม ครึ้มใจมาก เป็นความรู้สึกหลังจากอ่านจบ
แม้เรื่องจะเป็นญี่ปุ่นและผมไปลาว
ในแง่ข้อมูลไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกัน
แต่สิ่งที่ผมได้คือจิตใจ...
ผมพบว่า ไม่ว่าสิ่งที่เข้ามาจะร้ายเพียงใด สุดท้ายก็ขึ้นอยู่กับเรา
ว่าเราจะคิดให้เป็นสุขหรือทุกข์

ของพร้อม และใจก็พร้อมแล้ว.....
ได้เวลาเดินทาง ลาป๊ากับแม่ก่อนออกเดินทาง
ก้าวเดินกับเป้ใบใหญ่...พร้อมกับโตเกียวไม่มีขา
ความคิดแว่บเข้ามา
แล้วลาวหล่ะ....... จะพิการเหมือนโตเกียวหรือครบ 32 กันนะ




ดวง
20070206 19:35

 
Creative Commons License
This work is licensed under a Creative Commons Attribution-Noncommercial 3.0 Thailand License.