Monday, May 28, 2007

ไออุ่นลาวใต้ ตอน 8

อุบล#3

การได้รู้ประวัติศาสตร์ น่าจะทำให้เที่ยวในเมืองนั้นได้สนุกขึ้น ผมเชื่ออย่างนั้นครับ
ดังนั้นที่ๆสามารถตอบโจทย์ได้อย่างรวดเร็วที่สุด ตามประสาคนเมืองที่ต้องการอะไรรวดเร็ว ฉาบฉวย อย่างผม
พิพิทธภัณฑ์ประจำจังหวัดคงเป็นคำตอบ...

หลังจากกินข้าวเช้าและโทรไปยืนยันความมีชีวิตอยู่กับแม่ พร้อมกับยังคงมุสาอยู่อย่างต่อเนื่องว่าเพื่อนๆนั้น ยืนอยู่ข้างๆ
ทั้งที่ความจริงจะมองไปเห็นเพียงชายหนุ่มที่นั่งมองดูสายน้ำมูลอยู่อย่างเปลี่ยวเหงาก็ตาม
ผมเข้าใจว่าแม่คงไม่มีโอกาสได้อ่านเรื่องราวที่เขียนนี้แน่นอน แต่ลูกคนนี้อยากจะขอโทษที่มุสาออกไป...
และถ้าขอโทษล่วงหน้าได้เหมือนการฝากเงินเข้าธนาคาร ก็อยากจะขอโทษฝากเพิ่มเข้าไปอีกสักสองสามครั้ง แหะๆ

ผมกางแผนที่หาทางไปพิพิทธภัณฑ์ ได้ความว่าเดินไปไม่ไกลก็จะเจอ
เรื่องเดินนี่ของถนัดของผมอยู่แล้วครับ ถ้าอากาศเป็นใจ และการเดินทางนั้นไม่ต้องเร่งรีบ ผมมักจะไม่ปล่อยโอกาสที่จะเดินอยู่เสมอ...

ที่อุบลเช่นกัน อากาศกำลังเย็นสบายและการได้เดินชมเมืองอุบลไปเรื่อยๆ คงจะมีความสุขไม่ใช่น้อย ผมเดินชมเมืองไปเรื่อยๆสักพักก็ถึงพิพิทธภัณฑ์ครับ แต่...
ผมได้แต่ยืนนิ่งอยู่ข้างหน้า โดยมือซ้ายถือกล้องถ่ายรูป มือขวาถือหนังสือท่องเที่ยว ปากขมุบขมิบๆ จับใจความได้ว่า เป็นไปได้ไงวะๆๆๆๆๆๆ
พิพิทธภัณฑ์มันปิดครับ... วันอังคารเนี่ยนะ ผมคิดในใจ เป็นเรื่องเหนือความคาดหมายมาก
ผมรีบเปิดหนังสือท่องเที่ยวเช็คดูอีกทีเพื่อความแน่ใจ ได้รับการยืนยันว่าพิพิทธภัณฑ์ปิดวันจันทร์กับอังคารจริงๆ ที่จริงก่อนหน้าที่จะเดินทางมา ผมมีความมั่นใจเต็มร้อยว่าวันอังคารผมจะได้เข้าพิพิทธภัณฑ์แน่นอน เป็นความมั่นใจที่ปราศจากการตรวจสอบข้อมูลครับ ก็พิพิทธภัณฑ์บ้าที่ใหนจะปิดวันอังคาร...

ประโยคคำถามวิ่งเข้ามาในหัวมากมาย.. ทำไมปิดวันธรรมดาไม่ปิดเสาร์ อาทิตย์? แล้วทำไมเลือกปิดวันจันทร์ อังคาร?
สถานที่ราชการอื่นยังปิดวันหยุดสุดสัปดาห์ ที่นี่ไม่ใช่สถานที่ราชการหรือ?
ขณะคิดตัวยังยืนนิ่งมือซ้ายยังถือกล้องถ่ายรูป มือขวายังคงถือหนังสือท่องเที่ยว แต่ปากเลิกขมุบขมิบแล้ว(กลัวยามของพิพิทธภัณฑ์จะเดินมาล็อกคอหาว่าเล่นของใส่แก) อยู่หน้าป้ายที่เขียนว่า "วันนี้พิพิทธภัณฑ์ปิด"

คิดสักพักผมก็ถึงบางอ้อ นั่นสิ... ถ้าปิดเสาร์ อาทิตย์ พ่อแม่จะจูงลูกเล็กเด็กแดง มาศึกษาประวัติศาสตร์ในวันหยุดพักผ่อนก็ไม่ได้ และนักท่องเที่ยวที่ส่วนใหญ่ก็มักจะมาช่วงสุดสัปดาห์กันก็เข้าไม่ได้ ซึ่งไอ้นักท่องเที่ยวที่มาแบบผิดปกติอย่างผมเนี่ย จะเข้าไม่ได้ก็คงไม่เป็นไร เพราะเขาต้องรักษาคนหมู่มากไว้ก่อน จึงไม่ใช่พิพิทธภัณฑ์บ้า แต่เป็นผมเองต่างหากที่บ้าที่คิดว่าพิพิทธภัณฑ์จะปิดเสาร์ อาทิตย์ เหมือนสถานที่ราชการอื่นๆ หรือธนาคาร -_-''

ถ้าปิดวันจันทร์กับอังคาร ก็หมายความว่าผมหมดสิทธิ์เข้าแน่นอน เพราะตามกำหนดการพรุ่งนี้ผมจะต้องข้ามไปลาวแต่เช้า ถ้าจะให้ต้องเลื่อนข้ามไปลาวในวันถัดไป คงไม่ดีแน่เพราะผมจองตัวรถกลับไว้แล้ว ทำให้ผมจะต้องหั่นวันที่อยู่ลาวให้น้อยลง ลามไปถึงกำหนดการเที่ยวลาวที่วางไว้ต้องปรับใหม่อีก ซ้ำช่วงปีใหม่เลื่อนตั๋วรถกลับได้ง่ายๆซะที่ใหน

ปิ๊ง! แต่ใช่ว่าไม่มีทางออก... เพราะยังไงผมต้องกลับมาที่อุบลอีกทีอยู่ดี ตามแผนที่วางไว้ผมจะกลับมาประมาณวันอาทิตย์ ซึ่งน่าจะมีเวลาให้ได้เข้ามาเยี่ยมชม... ผมยืนยิ้มด้วยความรู้สึกโชคดีที่สามารถเก็บพิพิทธภัณฑ์เอาไว้อยู่ในแผนได้ โดยที่ตัวเองไม่รู้หรอกว่าเมื่อกลับมาวันอาทิตย์แล้ว พิพิทธภัณฑ์มันปิดเนื่องจากวันหยุดปีใหม่!!!

หลังจากหาทางออกได้แล้ว(โดยที่ไม่รู้หรอกว่ามันไม่ใช่ทางออกแต่เป็นทางตัน)ผมก็เดินไปวัดศรีอุบลต่อ ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากพิพิทธภัณฑ์นัก วัดนี้จะมีพระอุโบสถที่เป็นสถาปัตยกรรมแบบเดียวกับวัดเบญจมบพิตรในกรุงเทพฯครับ ภายในพระอุโบสถประดิษฐานพระแก้วบุษราคัม พระคู่บ้านคู่เมือง ซึ่งอัญเชิญมาจากกรุงศรีสัตนาคนหุต ประเทศลาว



ผมเข้าใจเอาเองว่าวัดนี้น่าจะเป็นวัดประจำจังหวัดอุบล โดยดูจากชื่อวัด และความสำคัญของพระที่ประดิษฐานอยู่ แต่เมื่อเข้ามาในวัดแล้ว ต้องพบกับความแปลกใจ ที่ไม่เจอนักท่องเที่ยวเลย แม้กระทั่งชาวบ้านเองนับได้คงไม่เกินความสามารถของนิ้วทั้งสองมือเป็นแน่
แต่ก็ดีเหมือนกัน เพราะผมมักไม่ชอบไปใหนมาใหนที่มีคนเยอะๆเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว...
ไหว้พระ ถ่ายรูปโบสถ์ ถ่ายพระพุทธรูป ถ่ายพระสงฆ์ ญาติโยม ลามไปจนถึงรูปหมา จนเป็นที่สาแก่ใจ ก็ออกมานั่งจดบันทึกตรงโต๊ะม้าหินชานวัด ภายใต้บรรยากาศที่ สงบ เงียบ เย็นสบาย
เที่ยวครั้งนี้ผมพกสมุดไปเล่มนึงครับ เพื่อที่จะได้มาระลึกถึงความหลังได้ว่าตัวเองไปทำอะไรมาบ้าง ประทับใจอะไรบ้าง ขณะนั้นรู้สึกอย่างไร มีความคิดอย่างไร
ข้อความในใจที่ผมเลือกที่จะเขียนเก็บลงไปนั้น ทั้งหมดจะเป็นความรู้สึกดีๆครับ ส่วนความรู้สึกไม่ดีที่พบเจอมาบ้างนั้น ผมขอทิ้งไว้ให้สายลมพัดพาไป...

โอกาสที่ได้นั่งจดบันทึก สำรวจสิ่งรอบๆกาย คงเป็นข้อดีของการมาเที่ยวคนเดียว ที่ให้อิสระกับเราได้เต็มที่ อยากจะดื่มด่ำหรือใช้เวลากับอะไร ก็สามารถทำได้ตามที่ใจต้องการ ต่างจากการมาเที่ยวเป็นกลุ่ม ที่จะต้องรอไปพร้อมกันเสมอ จึงทำให้เวลาต้องการทำอะไรต้องคิดถึงคนหมู่มากไว้ก่อน
อย่างว่าครับเมื่อได้รับสิ่งดีๆมา ก็ต้องมีอะไรแลกเปลี่ยน ซึ่งก็คือความเหงาที่ถูกยัดเยียดเข้ามาโดยไม่ได้ตั้งใจ
แฮ่ม... แต่ว่ายกแรกถือผมตั้งการ์ดต่อยเก็บคะแนนได้ดีกว่าครับ เพราะยังปฎิเสธไม่รับความเหงาเข้ามาอยู่ในอ้อมอกได้ :-)



จดบันทึกเสร็จ ผมจำต้องหาสถานที่เที่ยวใหม่แทนพิพิทธภัณฑ์ที่พลาดไป เปิดดูแหล่งที่เที่ยวสักพัก ก็ได้เป้าหมายใหม่เป็นวัดหนองบัว เป็นวัดที่มีเจดีย์พุทธคยาจำลองอยู่ ถือได้ว่าเป็นหนึ่งในวัดที่มีชื่อของทางจังหวัด ส่วนอีกที่หนึ่งนั้นเป็นแหล่งโบราณคดีวัดก้านเหลือง ที่นี่เป็นที่ๆมีการขุดพบเครื่องปั้นดินเผาสมัยโบราณอยู่ หวังว่าคงตอบความต้องการของผมแทนที่พิพิทธภัณฑ์ได้ไม่มากก็น้อย
สองที่นี้อยู่ชาญเมืองของอุบลครับ ซึ่งดูๆแล้วน่าจะพอไหว และที่สำคัญ!! ถ้าหลงก็น่าจะหาทางกลับมาได้ไม่ยากเย็นเท่าไร...
เอาหล่ะ! พร้อมแล้วเดินต่อดีกว่า...

ดวง
20070528 10:35

Saturday, May 12, 2007

เจ็ดวันต่าง...แต่มุมเดิม#7

เรื่องของบุญชู...

เมื่อทุกคนถึงทางแยกจะต้องเลือก แต่ละคนก็เลือกเส้นทางที่ตัวเองคิดว่าดีที่สุด
บุญชูก็เช่นกัน...
แม้ว่าในบางครั้งเราก็อยากจะกลับไปลองดูอีกทางว่าจะเป็นอย่างไร
แต่คงทำได้เพียงกระพริบตาปริบๆ...
ก็ในเมื่อตัวเราไม่สามารถทนกับแรงฉุดกระชากของเวลา เพื่อให้อยู่กับปัจจุบันได้
เราจึงต้องปล่อยให้ทางที่ไม่ได้เลือกเดินเป็นเพียงอดีต...

ยามเย็น...บุญชูนั่งกอดเขา อยู่ริมแม่น้ำ มองสายน้ำที่ทอดยาว
วันนี้เป็นวันหยุด เพื่อนสนิทเลยชวนเขาออกมาเดินเล่นกันในสวนสาธารณะ
สวนสาธารณะในวันหยุดจะมีการแสดงของกลุ่มต่างๆ เข้ามาสร้างความบันเทิงให้กับผู้ที่เข้ามาพักผ่อนอยู่มากมาย
แต่เขาเลือกที่จะนั่งดูสายน้ำไหล แทนที่จะไปดูการแสดงที่จัดในวันหยุดของสวนแห่งนี้เหมือนเพื่อนสนิท

"นั่งคิดอะไรอยู่เหรอ" เพื่อนสนิทถาม หลังจากกลับมาจากการดูแสดงและนั่งลงข้างๆ

เรื่องเดิมหน่ะแหล่ะ... บุญชูตอบ แต่ตายังคงมองไปยังสายน้ำที่ยังไหลอย่างไม่มีทางไหลกลับไปยังสิ่งที่มันเคยมาได้
เหมือนเวลาที่ไหลผ่านเราไปโดยที่เราไม่รู้ตัว...

"นายจะกังวลอะไรกับอดีตหล่ะ ชีวิตเราต้องก้าวไปในอนาคตนะ"
เพื่อนสนิทตบบ่าบุญชู แล้วชี้นิ้วมือไปข้างหน้า

เรารู้หว่ะ...
เรารู้ถึงขั้นว่า ตอนที่เราเลือกที่จะตัดสินใจอย่างนี้
ในอนาคตเราอาจจะต้องมานั่งเศร้ารอคนมาตบบ่าแล้วพูดอย่างนายเนี่ยแหล่ะ...
นายรู้ไม๊...ตอนคบกับเธอคนนั้น เรารู้สึกดีมากๆ เราไม่เคยรู้สึกกับใครอย่างนี้มาก่อนจริงๆ
แต่เราไม่สามารถจะบอกความรู้สึกที่เรามีกับเธอได้มากเท่าที่เราต้องการ
อย่างมากเราก็เพียงแค่บอกเค้าว่า "เราคิดถึง"
เพราะเรารู้อยู่แก่ใจว่าเธอมีแฟนอยู่แล้ว...

"ทำไมนายต้องมาแคร์กับแฟนเธอด้วย นี่มันยุคอะไรแล้ว
คนทุกคนมีสิทธิ์เลือกคนที่ดีที่สุดสำหรับตัวเอง
ถ้านายดีกว่าแฟนเธอ แล้วเธอเลือกนายก็แฟร์ดีอยู่แล้วนี่" เพื่อนสนิทถาม

เราไม่ได้แคร์แฟนเธอ เราแคร์เธอ เราแคร์คนที่เรารัก....
เราแคร์ความรู้สึกของคนที่เรารัก...
เราว่า ชีวิตคนมันไม่เหมือนขับรถ ที่สามารถเลือกว่าจะเลี้ยวซ้าย เลี้ยวขวาได้ตามต้องการ
มันยังมีสิ่งที่เรียกว่าความรู้สึก ความสัมพันธ์อยู่
มันคงเป็นสถานการณ์ที่ลำบากมากสำหรับเธอ ถ้ามีเราเข้าไปเกี่ยวข้องด้วย
เราไม่อยากให้เธอรู้สึกว่าเธอเป็นคนทำให้แฟนที่กำลังคบกันเสียใจ และให้เธอรู้สึกว่าเธอเป็นคนผิด
มันจะดีกว่าถ้าจะเลิก ก็เป็นเหตุผลของคนสองคน ไม่ใช่สาม...
อย่างน้อยความสัมพันธ์ที่เหลือก็คงพอจะเป็นเพื่อนกันได้...
และเมื่อเราตัดสินใจที่จะรักษาความรู้สึกเธอ ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับเธอ
อนาคต เราก็คงต้องมาดูแลใจตัวเองเช่นกัน...

"อืม...เราเข้าใจ คนแต่ละคนก็มีเหตุผลกันไปคนละแบบ แต่นายก็อย่าไปเครียดมันนักเลย
ถ้ามีอะไรให้เราช่วยก็บอกละกัน"

ช่วยเหรอ... อืม...เออนี่ถามหน่อยเถอะ บุญชูขยับตัวและหันหน้าไปถาม
"อะไรเหรอ??" เพื่อนสนิทมองหน้าอย่างสงสัย
คือตัวนายก็อ้วนๆ หน้าตาก็ออกไปทางญี่ปุ่นอยู่
มือกับเท้านายก็ป้อมๆ แถมเสื้อกับกางเกงที่ใส่ก็เป็นสีน้ำเงินตลอดอีก
ลิ้นชักบ้านนายมีไทม์แมชชีนป่าว??...









ปล. จบแล้วครับ เจ็ดวันต่าง...แต่มุมเดิม ผมพยายามให้มีเรื่องราวในแบบที่ต่างๆกันในแต่ละวัน
คงพออ่านกันได้นะครับ...


ดวง
20070513 12:44

Friday, May 11, 2007

เจ็ดวันต่าง...แต่มุมเดิม#6

วันพฤหัส

นานๆ ได้ทำงานเลยเที่ยงคืนบ้างก็ดีเหมือนกัน...
สงบ...มีสมาธิดี
เสียอย่างเดียว...ต้องตื่นแต่เช้ามาทำงานต่อนี่สิ
ฮ้าาาวววววว...

ดวง
20070511 10:37

Wednesday, May 9, 2007

เจ็ดวันต่าง...แต่มุมเดิม#5

วันพุธ

บ่อยครั้ง...เมื่อยังเด็ก
ผมมักชอบทอดใจไปเรื่อยๆ ยามฝนตก
จ้องมองหยดน้ำจากฟากฟ้ากลับสู่ผสุธาที่มันเคยจาก
ให้ผิวกายได้สัมผัสความชุ่มฉ่ำของละอองน้ำ
พร้อมสูดไอดินเคล้ากลิ่นต้นไม้ต้นหญ้า

ปัจจุบัน...หลายครั้ง หลายครา
ความรู้สึกดีๆเมื่อยังเยาว์ ถูกบดบังด้วยความหงุดหงิดจากสายฝน
ที่ทำให้เดินทางไม่สะดวกโดยไม่รู้ตัว...

เหตุใดนะ ถึงเป็นอย่างนี้...

เรามีทางเลือกที่จะเผชิญกับสิ่งที่เกิดขึ้นรอบตัวเราเสมอ
คงจะมีเพียงเราเท่านั้นที่จะต้องตัดสินใจ
ว่าจะยิ้มต้อนรับมัน เพื่ออยู่อย่างมิตร หรือจะเบือนหน้าหนี...

ดวง
20070509 11:32

Tuesday, May 8, 2007

เจ็ดวันต่าง...แต่มุมเดิม#4

วันอังคาร

"กดหนูที ก่อนจากไป"
ผมไม่แน่ใจว่าบทความนี้ จะต้องมีป้าย น หนู และมีเลข 18 อยู่ข้างใต้
เหมือนการกำหนดเรทรายการทีวีหรือไม่ :-)

ผมเจอข้อความนี้เหนือปุ่มกริ่งบนรถเมล์ครับ เล่นเอายิ้มเลยเหมือนกัน
เห็นผมอย่างนี้ ผมไม่เคยไม่ทันมุขสัปดน คำผวน หรือใต้เข็มขัดเลยนะครับ
ไม่แน่ใจว่าตามที่ทันอย่างนี้เป็นเพราะสังคม หรือพรสวรรค์ (HA HA)
หลายคนอาจแย้ง พรสวรรค์นะ ไม่ใช่ รงค์ วงศ์สวรรค์ :-)
(ตามไม่ทันไปหามติชนสุดสับดาห์มาอ่านนะครับ HA HA)

"ไทยนี้รักสงบ แต่ถึงรบไม่ขลาด"
ประโยคข้างบนเป็นส่วนหนึ่งของเพลงชาติ ที่อาจจะจริง
แต่ผมว่าถ้าเปลี่ยนจากรักสงบ เป็นรักสนุก อาจจะจริงมากกว่า HA HA

คงไม่มีใครกล้าเถียงว่าคนไทยเรารักสนุกเสียจริ๊งๆ
เพราะคงไม่มีประเทศใหนมั๊งครับ ที่นักแสดงตลกมีมากเสียจนรวมตัวเป็นสมาคมตลกได้
ผมเคยจินตนาการว่าสมาคมนี้ สมาชิกคงไม่ได้ทำอะไร ขำกันเองก็หมดวันแล้ว ก็มีแต่ตลกนี่ครับ... :-)
นี่ยังไม่นับสิ่งบันเทิงมหัศจรรย์ของโลกอย่างขายหัวเราะนะครับ
ที่มียอดขายดีซะจน มาทำเป็นอนิเมชั่นได้
แล้วมันมีประเทศใหนบ้างที่มีหนังสือสำหรับเอาไว้ขำอย่างเดียวอย่างเรา

คงไม่เฉพาะแต่เพียงนักแสดงตลกเท่านั้นที่ตลก คนไทยส่วนใหญ่ก็มีนิสัยตลกนะครับ
สังเกตง่ายๆ ถ้าตรงใหนมีคนไทยอยู่เกินสามคน ผมให้เวลา 1 นาทีไม่เกิน มันต้องมีเสียงหัวเราะครับ
แล้วไอ้นิสัยตลกของคนไทยเนี่ย มันก็ไปอยู่ทุกสถาณการณ์
เดินทางมันก็ตลก ประชุมมันก็ตลก กินข้าวมันก็ตลก(แดก)

ถ้ามีการจัดอันดับประเทศที่มีอารมณ์ขัน ไม่แคล้วเราคงเป็นหนึ่งในใต้หล้า
แค่เพียงอารมณ์ขันเราอย่างเดียว ก็ดันอันดับครีเอทีฟโฆษณาประเทศเราไปอยู่อันดับห้าของโลกแล้ว
แต่ที่ได้แค่ที่ห้าเนี่ย ไม่ใช่ว่าเราต้องการอันดับที่บ่งบอกว่าเรารักการหัวเราะเสียจริงนะครับ
แต่เพราะมีตัวถ่วงเป็นปัจจัยที่ฝรั่งกรรมการมันตามมุขเราไม่ทันต่างหาก
ถ้าทันหล่ะเอ๊งเอ๊ย... ขำกันหัวแดง หัวทองสั่นกันดิ๊กๆๆแล้ว HA HA

แล้วของฝรั่งมันไม่ขำหรือไง??...
อู้ยยยยย...จะขำอะไรกันคู้นนนนน...
เคยอ่านโจ๊กฝรั่งไม๊ครับ?
100 มุข อย่างมากก็จะมีเสียงลอดออกจากปากดัง แหะๆๆ สักสองมุข
เทียบกันไม่ได้หรอกครับ มันห่างชั้นกันเกินปายย :-)

อย่างที่รู้...เป็นคนชอบขัดใจ กำลังขำกันได้ที่ ผมก็ขอตัดบทเพียงเท่านี้
แต่ว่าแล้วก็ขออีก หน่อย... (ไม่ต้องคิดว่าหน่อยนี่ใคร หน่อยเพื่อนทุกคนครับ เหมือนเพื่อนตุ้มหน่ะ...)
คือตอนจะลงรถเมล์ว่าจะสนองพระเดชพระคุณคนขับ โดยการกดหนูซะหน่อย (รู้แล้วนะครับว่าหน่อยเพื่อนทุกคน)
โชคไม่อำนวย กดไม่ทัน โดนคนแซงกดหนูไปซะก่อน ... ของเค้าดีจริงๆ HA HA


ปล. ข้อความตัวอย่างหลายเรื่องในบทความนี้ เป็นของจริงบ้าง เล่นบ้าง
โปรดใช้วิจรณญาณในการชม ห้ามชมเกินวันละสองครั้ง
โปรดอ่านคำเตือนบนฉลากก่อนชมทุกครั้ง HA HA <- แหม.. ชอบจริงๆเลย อิอิ

ดวง
20070508 10:38

Monday, May 7, 2007

เจ็ดวันต่าง...แต่มุมเดิม#3

วันจันทร์

ไม่บ่อยครั้งนักที่สมาชิกครอบครัวผมจะกินข้าวด้วยกันพร้อมเพรียง
ทั้งๆที่ก่อนหน้านี้เรามักอยู่ด้วยกันพร้อมหน้าพร้อมตาบนโต๊ะอาหารเสมอ
กินไป...คุยไป แล้วแต่ว่าใครมีเรื่องน่าสนใจอะไรมาเล่าบนโต๊ะอาหาร

หลายๆครั้งที่กับข้าวเหมือนเดิม รสชาติที่คุ้นเคย
แต่ให้ความรู้สึกที่ดีกว่าเดิม เพราะเรากินกันไป หัวเราะกันไป
หลายๆครั้งที่กับข้าวเหมือนเดิม รสชาติที่คุ้นเคย
แต่เราอยากจะรีบกินให้เสร็จ เพราะเกิดสถาณการณ์ตึงเครียด...
สิ่งต่างๆ เกิดขึ้นมากมายบนโต๊ะอาหารตลอดเวลา 20 กว่าปี
จะเรียกได้ว่าโต๊ะอาหารเป็นอุปกรณ์ที่มีความสำคัญที่สุดของครอบครัวผม ก็คงจะไม่ผิดนัก
จะเรียกได้ว่าผมเป็นผมถึงทุกวันนี้ เพราะมีโต๊ะอาหารเป็นสื่อกลางความอบอุ่นกับครอบครัวก็คงไม่ผิดเช่นกัน

แต่...ความสำคัญของโต๊ะอาหาร เริ่มซวนเซหลังจากผมต้องไปอยู่หอตอนเรียนมหาลัย ต่อเนื่องมาจนถึงผมมีงานทำ
จำนวนวันที่ผมเลิกงานกลับมาทันกินข้าวเย็นด้วยกันกับครอบครัวนั้น นิ้วมือข้างเดียวก็สามารถนับได้
แต่จำนวนวันที่ผมทานข้าวเย็นกลับเพื่อนฝูงนั้น คงเหลือบ่ากว่าแรงของผมเป็นแน่

ความสำคัญของโต๊ะอาหารทรุดหนักลงไปอีก เมื่อพี่สาวผมแต่งงานออกเรือนไป...
ซึ่งตอนนี้คงเหลือเพียงสุดสัปดาห์บางวันเท่านั้นที่เราจะอยู่กินกันพร้อมหน้าเหมือนวันวาน

จากแต่ก่อนที่ผมไม่เคยเห็นความสำคัญ ตอนนี้ผมกลับรู้สึกดีมากๆ ที่เวลากินเงยหน้าขึ้นมาก็เจอภาพที่คุ้นเคย
ทั้งยังรู้สึกโชคดี ที่ผมได้รู้ถึงความสำคัญใกล้ตัวในตอนที่มันยังไม่สายเกินไป...

ปกติผมเป็นคนชอบคิด ชอบหาเหตุผล ชอบคาดการณ์ไปยังอนาคต
แต่เรื่องนี้เป็นเรื่องเดียวที่ผมไม่อยากคิด ไม่อยากรู้ ไม่อยากมองไปยังอนาคตข้างหน้า
จะหาว่าผมขี้ขลาด หรือไม่กล้ายอมรับความจริงก็ยอม...

วันนี้เป็นวันสำคัญ ไม่ใช่วันหยุดชดเชยวันฉัตร
แต่เป็นวันที่แม่บอกว่าจะทำกับข้าวที่พวกเราอยากจะกิน เพราะพรุ่งนี้เป็นวันเกิดแม่
ทำไมฉลองวันเกิดแม่ แต่แม่ต้องมาทำกับข้าวให้เรากิน...
ลูกๆมองหน้ากันอย่างเข้าใจ ไม่มีใครถาม
เรารู้ว่าแม่มักไม่ชอบที่จะให้เราเสียสตางค์ ไปซื้อของมาให้กิน
บางครั้งเราไม่ยอม ซึ่งแม่ก็จะมีหลายๆเหตุผลขึ้นมาแย้ง
ที่ทุกๆเหตุผลมีจุดประสงค์เดียวคือ ไม่อยากให้ลูกลำบาก...

ดวง
20070507 21:25

Sunday, May 6, 2007

เจ็ดวันต่าง...แต่มุมเดิม#2

วันอาทิตย์

แวะไปงานบวชก้องเพื่อนสมัยมัธยม ตอนช่วงเช้า เพื่อนร่วมห้องติดธุระกันหลาย
สุดท้ายเหลืออยู่ 2 ผม กับ เกียรติ์...

นั่งคุยกับเกียรติ์ จนเหมือนไม่ได้มางานบวช
แต่เป็นรายการทอร์กโชว์ โดยสลับกันเป็นพิธีกร
คุยกันตั้งแต่ สารทุกสุขดิบ การงาน ชีวิตคู่ ความหวัง ความฝัน ลามไปถึงแผนการในอนาคต
มีพักเบรกโฆษณาเป็นจังหว่ะ สปอนเซอร์คือความเงียบ...

เกียรติ์เป็นคนใจเย็นมาก คุยด้วยแล้วให้ความรู้สึกเหมือนไม่ได้คุยกันในวัด
แต่เป็นทอร์กโชว์บนหาดทรายริมทะเล ที่ไม่มีเก้าอี้สำหรับพิธีกร แต่เป็นเปลผ้าใบ

แม้ว่าเราจะคุยกันหลายเรื่อง แต่สิ่งที่ผมสัมผัสได้เป็นความสงบในบทสนทนา
การได้คุยกันในช่วงวัยปัจจุบัน
ทำให้ผมได้มองย้อนกลับไปยังครั้งก่อนที่เรายังเป็นเด็กเสื้อขาว กางเกงดำขาสั้นอย่างไม่ได้ตั้งใจ
ความมีสีสัน ความคึกคะนองในบทสนทนาตอนนั้น สะท้อนตัวเราอะไรในเวลานี้...

ครั้งเมื่อชีวิตถึงทางแยกที่ต้องเลือกเดิน...
เราต่างเลือกเดินไปในทางแยกที่คิดว่าจะเป็นจุดหมายของอนาคตต่างๆกัน
เราต่างเจอสิ่งรอบข้างรายทางให้เราได้พบปะสะสมไว้เป็นประสบการณ์
และเปลี่ยนเราให้เป็นเราในวันนี้...
แต่ทางที่เลือกเดินของแต่ละคน ที่ไม่ว่าจะเจออีกสักกี่ทางแยก
มันต้องมีบ้าง ที่ทางแยกนั้นจะเป็นจุดตัดของทางเดินของคนสองคนให้พบเจอกันอีก
ให้เราได้ถามไถ่ ถึงเส้นทางของกันและกัน
และเมื่อถึงเวลา...เราก็ต้องเดินไปตามเส้นทางที่เราเลือกต่อไป...


ดวง
20070507 12:12

Saturday, May 5, 2007

เจ็ดวันต่าง...แต่มุมเดิม #1

หลายคนบอก เมื่อไหร่ไออุ่นจะออก...
เป็นคนชอบขัดใจ ยังไม่ออกครับตอนนี้
มีของใหม่ โปรโมชั่นใหม่
"เจ็ดวันต่าง...แต่มุมเดิม"
คิดนานแล้ว แต่นึกชื่อออกเมื่อตะกี๊
อยากเล่น อยากลอง
จากวันเสาร์ ถึงวันศุกร์ เจ็ดวัน หนึ่งสัปดาห์
เขียนทุกวัน ได้หรือไม่...ไม่รู้
รู้อย่างเดียว อยากลอง อยากเล่น

วันเสาร์

แวะไปตากลมเย็นที่หอสมุดแห่งชาติ อ่านหนังสือเรื่อยเปื่อยเหมือนทุกครั้ง
ธรรมดาชีวิต อ่านตั้งนาน ฝนไม่ตก มาตกตอนกลับ
เปียก... ไม่ได้พกร่มมา ประมาทอากาศเมืองไทย
ตอนออกจากบ้านอากาศแจ่มใสมาก แม่ยังพูดสงสัยพายุออกไปแล้ว
แต่เปียกขนาดนี้ สงสัยพายุจะรีเทิร์นได้...

หาที่หลบฝนได้ที่ร้านนายอินทร์ เดินเข้าไปดูหนังสือ ตั้งใจว่าจะไม่ซื้อ
ของเก่างานหนังสือ ยังไม่ได้อ่านอีกเยอะ
ฝนหยุด... ออกมา ตกใจ! ที่มือมีหนังสือหนึ่งเล่ม
พร้อมกับตังค์หายจากกระเป๋าไปร้อยกว่าๆ...
เสร็จร้านหนังสืออีกแล่ว...

ดวง

หอสมุดแห่งชาติ

หอสมุดแห่งชาติ

ผมเป็นคนแพ้อากาศร้อนครับ ไม่ใช่ลักษณะการแพ้แบบที่มีอาการผดผื่น หรืออาการคันแต่อย่างใด
แต่เป็นอาการที่ไม่สามารถตั้งสมาธิในอยู่กับสิ่งที่ทำ ณ ขณะนั้นได้เลย ดั่งคนมีสมาธิสั้น ทำสิ่งๆหนึ่งได้พักนึง แล้วก็ต้องเปลี่ยนไปทำอย่างอื่น และมีอาการเดินไปเดินมาเพื่อที่จะหาสิ่งใหม่ทำเสมอหลังจากที่จับสิ่งที่ทำก่อนหน้าได้ไม่นาน
สุดท้ายแล้ว ก็มางีบหลับโดยมีพัดลมเป่าตัวอยู่ข้างๆ (-_- ) zZZ

บ้านผมมีนโยบายอยู่ว่า ห้ามเปิดแอร์ตอนกลางวันครับ เพื่อเป็นการประหยัดไฟ ประหยัดค่าใช้จ่ายภายในบ้าน ดังนั้นช่วงหน้าร้อนอย่างนี้ ผมจึงมีอาการสมาธิสั้นทุกเสาร์ อาทิตย์ ที่ไม่ได้ไปทำงาน
ทนไม่ไหวครับ เมื่อเกิดอาการอย่างนี้ ผมรู้สึกว่าใจไม่สงบเอามากๆ จิตใจมันวุ่นวายอยู่ตลอด และด้วยความที่ผมไม่ใช่คนที่สามารถควบคุมสมาธิตัวเองได้เก่งถึงขนาดที่ไม่ยั่นกับทุกสภาวะอากาศ แม้ว่าจะปรารถนาจะทำได้ก็ตาม ดังนั้นเมื่อถึงเสาร์ อาทิตย์ ถ้าไม่จำเป็นต้องอยู่บ้านจริงๆ ผมมักจะหาสถานที่ๆอากาศเย็นๆ สงบๆ ไปสิงสถิตย์อยู่เสมอ และที่ๆนิยมฮอตฮิตของผมอยู่ตอนนี้ก็คือ หอสมุดแห่งชาติครับ


ผมเชื่อว่าหลายๆคนคงได้มีประสบการณ์ไปเยี่ยมไปเยือนหอสมุดแห่งชาติมาบ้างไม่มากก็น้อย ผมก็เช่นกันครับ
เมื่อตอนผมเรียนประถมอยู่นั้น ผมได้มีโอกาศไปใช้บริการหอสมุดแห่งชาติอยู่บ้าง เพื่อหาข้อมูลทำรายงานส่งครู แม้ว่าตอนเด็กของผมนั้นจัดได้ว่าเป็นเด็กที่ขี้เกียจเอามากๆ ไม่เคยอ่านหนังสือเลย ไม่ว่าที่บ้านจะหาวิธีให้อ่านหนังสืออย่างไรก็ไม่ยอม จำได้ว่าแม่เป็นห่วงมาก กลัวว่าโตขึ้นจะไม่เป็นโล้เป็นพาย เพราะวันๆมันเอาแต่นอนเลี้อยอยู่หน้าจอทีวี ถ้าไม่อยู่หน้าจอทีวีก็แอบไปเล่นเกมส์ ตีปิงปอง แทงสนุกเกอร์ไปเรื่อยเปื่อย ด้วยความโชคดีที่เป็นคนหัวดีพอควร กอรปกับตอนเรียนจะตั้งใจฟังครูสอนในห้องอยู่เสมอ แต่เป็นการตั้งใจฟังในสภาวะบังคับนะครับ เพราะเนื่องจากตอนเด็กนั้นผมตัวค่อนข้างเล็ก ถ้าจัดอันดับแล้วถือว่าเล็กเป็นอันดับสองของห้องเลยทีเดียว ครูจึงมักให้ที่ประจำเป็นโต๊ะแถวหน้าๆอยู่เป็นประจำ จึงทำให้ต้องตั้งใจฟังครูอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เลยยังผลให้เกรดที่ออกมานั้นน่าเกลียดแบบพอให้อภัยได้...
ยังจำได้อีกว่าตอนเรียนประถมนั้นผมชอบช่วงเวลาสอบมากที่สุด เพราะไม่ต้องเรียน ซ้ำยังสบายอีก เข้าห้องไปก็แค่กาข้อสอบ เลิกก็เร็ว ไม่เคยคิดว่าอีกไม่กี่ปีถัดมาช่วงสอบจะกลายเป็นงานประเพณีเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยวไปได้ ต้องอ่านหนังสือดั่งคนมีองค์ลง และต้องแสดงอิทธฤิทธิ์ด้วยการเดินฝ่าทะเลเพลิง ถ้าองค์ประทับไม่แน่นแล้วมีสิทธิ์โดนไฟคลอกแน่นอน...
"จากเด็กที่ไม่ยอมอ่านหนังสือ กลายเป็นหนอนหนังสือตัวเล็กๆไปได้ ถ้ามีจังหว่ะดีๆจะเล่าให้ฟังครับ"

ผมมีโอกาสได้ไปหอสมุดอีกทีตอนช่วงหน้าฝนปีที่แล้วครับเพราะต้องหาที่อ่านหนังสือเตรียมตัวสอบ ซึ่งหลังจากสอบเสร็จก็ไม่ได้ไปอีก จวบจนมาถึงหน้าร้อนปีนี้ ด้วยอาการแพ้อากาศร้อนของผมทำให้นึกถึงหอสมุดแห่งชาติขึ้นมาอีกครั้ง

หอสมุดแห่งชาติช่วงนี้เป็นที่ถูกใจผมยิ่งนัก เนื่องจากยังเป็นช่วงปิดเทอมของโรงเรียนอยู่ทำให้ไม่มีนักเรียนมาค้นคว้าข้อมูล กอรปกับมีการปรับปรุงพื้นที่ก่อสร้างข้างล่าง ซึ่งคนผ่านไปผ่านมาจะมองเหมือนหอสมุดปิดปรับปรุง ทำให้คนมาใช้บริการนั้นน้อยลงไปอีก
สงบครับ สงบถูกใจผมมากๆ แอร์ก็เย็น เงียบก็เงียบ จึงทำให้ผมเริ่มเปลี่ยนจากสัมภเวสีกลายมาเป็นเจ้าที่ทันที อยู่ทนอยู่นาน อ่านหนังสือเล่มนุ้น เล่มนี้ไปเรื่อย ข้อเสียอย่างเดียวของหอสมุดแห่งชาติคือห้ามเอาหนังสือเข้าครับ แต่ด้วยความที่มีหนังสืออยู่เยอะทำให้พอจะอะลุ่มอะล่วยกันได้

พูดถึงเรื่องการอ่านหนังสือ ผมเคยได้รับทราบข้อมูลข่าวสารงานวิจัยการอ่านหนังสือของคนไทยมาบ้างว่า โดยเฉลี่ยแล้วคนไทยอ่านหนังสือเพียงวันละ 6-7 บรรทัดเท่านั้น มันเลยเป็นประเด็นน่าสนใจในการวิเคราะห์ว่าอัตราการอ่านหนังสือนั้นน่าจะสัมพันธ์กับอะไรบ้าง

จากประสบการณ์และข้อมูลที่ได้อ่านๆมา ผมมีความคิดว่าคนจะอ่านหนังสือหรือศึกษาเพิ่มเติมได้นั้นต้องมีความสนใจไคร่รู้เป็นเหตุตั้งต้น ถ้าไม่มีความกระหายอยากรู้อยากเห็นแล้ว ความรู้สึกอยากอ่านคงไม่เกิดขึ้น ตัวอย่างความสัมพันธ์ที่มองเห็นได้ง่ายๆนั้นเช่น นิตยสารที่วางขายตามท้องตลาด ถ้าเราสังเกตดีๆแล้วเราจะพบว่านิตยสารทุกเล่มจะต้องมีข้อความบอกตรงหน้าปกว่าในเล่มจะมีเรื่องอะไรบ้าง เพื่อเป็นการกระตุ้นให้คนสนใจ โดยคนซื้อนั้นก็ต้องอ่านตรงหน้าปกว่าเรื่องที่เขานำเสนอนั้นน่าสนใจน่าที่จะอยากรู้หรือไม่ ถ้าน่าสนใจถึงจะซื้อ ถึงตอนนี้อาจจะมีคนแย้งว่าบางคนซื้อนิตยสารโดยไม่ได้อ่านหัวข้อเรื่องตรงหน้าปกด้วยซ้ำไป คนที่ซื้อนิตยสารโดยไม่อ่านนั้นจะมีสองพวกครับ

ก.) กลุ่มคนที่เป็นแฟนประจำของนิตยสารนั้น กลุ่มนี้เขามีความไว้ใจเป็นทุนเดิม เขาเชื่อว่าเรื่องที่จะนำเสนอในนิตยสารนั้นเป็นในแนวที่เขาสนใจ ซึ่งจะเป็นเรื่องอะไรก็แล้วแต่ เขาก็สนใจอยากอ่านอยู่แล้ว ดังนั้นข้อนี้จึงเป็นประเด็นที่ทำให้เกิดการจัดกลุ่มประเภทของนิตยสารขึ้น เช่นว่านิตยสารนี้เป็นกลุ่มวิทยาศาสตร์ นิตยสารนั้นเป็นกลุ่มสังคม เศรษฐกิจเป็นต้น อีกประการคือทำให้เกิดรูปแบบการเป็นสมาชิกขึ้น เพื่อมาสนองความต้องการของกลุ่มคนที่เป็นแฟนประจำนั่นเอง
ข.) กลุ่มคนที่ซื้อนิตยสารโดยไม่อ่าน...แต่เน้นดูอย่างเดียว คงพอเดาได้นะครับว่าน่าจะเป็นนิตยสารแนวใหน กลุ่มนี้เวลาซื้อก็ต้องมีความสนใจมาเป็นตัวตั้งต้นเช่นกัน คือหลังจากดูแล้วเกิดความสนใจขึ้นมาว่าข้างในจะมีอะไรเร้าใจกว่าหน้าปกหรือเปล่า?

ที่นี้มาคิดต่อว่าแล้วที่คนไทยอ่านหนังสือน้อยแสดงว่าความอยากรู้มีน้อยหรือไม่...
เป็นไปได้ครับ โดยปกติแล้ววัฒนธรรมไทยจะเน้นให้มีความเคารพเชื่อฟังผู้ใหญ่ ผู้ใหญ่สอนอะไรต้องเชื่อฟัง เด็กคนใหนไม่ฟังก็จะมีการดุด่าว่ากล่าวว่าดื้อ การศึกษาไทยก็เช่นเดียวกันครับ ครูพูดอะไรต้องเชื่อฟัง อย่าเถียง ดังนั้นสภาพทางสังคม วัฒนธรรมหรือระบบการศึกษาแบบนี้ไม่เอื้อให้เกิดจินตนาการ การคิดเพิ่มเติมสักเท่าไร เมื่อจินตนาการ และความคิดถูกปิดกั้น ความสนใจ ความอยากรู้ก็ลดน้อยถอยลงตามไปด้วย อีกปัจจัยนึงที่มีผลต่อการอ่านหนังสือคือเมื่อเรามีความสนใจเรื่องใดแล้วนั้น จะหาเอกสารหรือหนังสือมาสนองตัญหาก็ยาก เพราะเมืองไทยไม่ค่อยมีแหล่งหนังสือสาธารณะครับ ทำให้การเข้าถึงความรู้เป็นไปได้อย่างยากยิ่ง เมื่อไม่มีที่ให้เข้าถึงความสนใจที่เคยมีก็ฝ่อตัวลง แต่สมัยนี้ยังดีที่เรายังมีอินเตอร์เนตให้ใช้ค้นคว้าหาความรู้กัน แต่อย่างว่าครับ อินเตอร์เนตเป็นดาบสองคม ทำให้คนเป็นปราชญ์ก็ได้ ทำให้คนเป็นโจรก็ได้...

ฟ้ามืดครึ้ม นกน้อยกำลังบินกลับรัง ลมพัดเบาๆแต่เย็นสบายเข้ามาสัมผัสกาย ผมเดินออกจากหอสมุดแห่งชาติ พร้อมประเด็นความคิดอีกหลายหลากจากหนังสือที่ได้อ่านให้ไปขบคิดต่อ ขึ้นรถเมล์กลับบ้าน และคิดบนรถเมล์ต่อไปเรื่อยๆ รู้ตัวอีกที ก็ต้องมีประเด็นคิดเพิ่มอีก... "ที่นี่ที่ใหนวะ??"


ดวง
20070505 15:14

 
Creative Commons License
This work is licensed under a Creative Commons Attribution-Noncommercial 3.0 Thailand License.