กลุ่มถัดมาเป็นขอทานกลับบ้านไม่ถูก แกจะมาพร้อมกับป้ายกระดาษที่บรรจุตัวหนังสือบอกเล่าเรื่องราวว่าทำไมแกถึงมาอยู่ตรงนี้ได้ และที่สำคัญบอกว่าแกต้องการจะไปใหนต่อ โดยทั้งหมดที่ผมเห็น ที่หมายต่อไปคือบ้านเกิดครับ ขอทานกลุ่มนี้นับว่าน่าเห็นใจมาก เพราะแกเหมือนมาจากเมืองลับแลที่ไม่มีวันกลับไปได้ บางคนผมเห็นมาหลายเดือนแล้ว แกก็ยังมีปัญหากับการกลับบ้านแกอยู่ แต่เจออย่างนี้ก็อดคิดไม่ได้ว่า แกมีบ้านให้กลับ ก็น่าจะมีญาติ หรือคนรู้จักอยู่ที่บ้านหรือละแวกบ้านแก ถ้าอับจนหนทางจริงๆ การจะโทรหรือติดต่อเพื่อให้คนทางบ้านแกช่วยเหลือก็น่าจะเป็นไปได้ ผมว่าคนไทยยังไงก็ปล่อยให้คนรู้จักเดือดร้อนขนาดต้องขอทาน นอนข้างถนนไม่ได้หรอกครับ หรือเอาเข้าจริงชีวิตอาจโหดร้ายมากกว่าที่ผมคิด แกอาจจะไม่มีญาติสนิทมิตรสหายเหลืออยู่เลย หรือแม้กระทั่งที่จะซุกหัวนอน...... ซึ่งถ้าเป็นอย่างนั้นจริง กลับไปก็ดูเหมือนว่าไม่ค่อยมีประโยชน์อะไรเท่าไร ถึงกลับไปได้ก็อาจจะต้องหาเงินทุน เพื่อกลับมากรุงเทพฯอีก
ถัดมาเป็นขอทานแบบไม่ให้เหรอ....จำไว้ -*-
เคสนี้นับว่าแปลกพอสมควร อารมณ์คล้ายๆ โดนกรรโชกเล็กๆ แต่กลับรู้สึกผิดหน่อยๆ ผมเจอเคสนี้ตอนกำลังรอรถเมล์แถววงเวียนใหญ่เพื่อที่จะกลับบ้านครับ ระหว่างรออยู่ก็มีความรู้สึกว่าโดนรังสีกดดันอย่างหนักมาจากข้างๆ โดยปกติแล้วระหว่างรอรถเมล์ผมจะมีกิจวัตรประจำตัวอยู่สองอย่าง คือไม่มองไปว่ามีรถเมล์ที่รอมาหรือยัง ก็จะอ่านหนังสือไปเรื่อยๆ ซึ่งทำให้ผมไม่ค่อยสนใจอะไรรอบข้างเท่าไรนัก นี่เองทำให้กว่าผมจะรู้ตัว ไอ้คนแผ่รังสีก็มายืนจ้องหน้าอยู่ข้างๆแล้ว เข้าใจว่าแกอาจแผ่รังสีมานานพอควร พอผมไม่รู้สึกตัวมันก็เลยเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อยๆ จนอยู่ในระยะประชิด เจ้าของรังสีอำมหิตนี้เป็นผู้ชายอายุประมาณ 40 กว่าๆ ได้ หน้าตาเป็นในแนวคนเชื้อสายจีนที่มีร้านค้าเป็นของตัวเอง รูปร่างท้วม ใหญ่พอควร ผมหันมาเจอแกจ้องหน้าพร้อมหายใจ ฟึดๆๆๆ เหมือนวัวกระทิง ก็ผงะไปหน่อย อารามคิดว่านี่ตูไปเหยียบเท้าแกเปล่าวะ หรือตูยืนบังทำให้แกมองสายรถเมล์ไม่ชัดหรือเปล่า ระหว่างความคิดกำลังเตลิดนั้น แกก็บอกสาเหตุการอาฆาตว่า "ขอตังค์ยี่สิบเด่ะ" เท่านั้นแหล่ะครับ งง!! คือไม่คิดว่าบทมันจะหักมุมขนาดนี้
จากหน้าตาที่อาฆาต และลมหายใจฟึดๆๆๆ ประหนึ่งผมเคยไปทำร้ายบรรพชนพี่แกตั้งแต่ปางก่อน แต่ดันกลับมาของตังค์ ไอ้สิ่งที่แกทำลงไปทำให้ผมต้องชั่งใจมาก เพราะผมได้ให้สัญญากับตัวเองไว้แล้วว่าจะไม่ให้เงินขอทานคนใหน แต่สำหรับกรณีนี้ ถ้าผมไม่ให้แกจะต่อยผมไม๊เนี่ยย!! ผมชั่งใจอยู่สักพักก่อนตัดสินใจบอกไป อย่างห้วนๆ เล็กน้อยว่า "ไม่ให้" พร้อมดูท่าทีแกทันที เกิดแกทำอะไรวู่วามจะได้หลบทัน (หวังว่านะ) สรุปว่าพอตอบแกไปอย่างนั้น จากหน้าตาอาฆาตๆ กลายมาเป็นมองแบบค้อนๆ หน่อยๆ แล้วพูดว่า "จำไว้"
..
...
....
.....
...... ไอ้มนุษย์หักมุม!!! จะหักมุมไปถึงใหนเนี่ย หัวใจจะวาย เท่านั้นยังไม่จบ พอแกผิดหวังจากผม แกก็เดินไปส่งสายตาอาฆาตผู้หญิงอีกคน ซึ่งยืนถัดจากผมไปไม่ไกล ผู้หญิงคนนั้นให้ครับ ก็น่าจะให้อยู่หรอก น่ากลัวซะขนาดนั้น พอตามนุษยหักมุมนั่นรับตังค์แกก็หันมาทางผมแล้วบ่นพร้อมชี้มาว่า "แค่นี้ให้ไม่ได้" โดนดอกนี้นี่สะอึกเลยครับ ผมว่าผมทำถูกนะ แต่ดันรู้สึกผิดแฮะ แล้วไอ้สิ่งที่แกทำเนี่ย มันทำให้ผมนึกถึงสมัยอนุบาล ที่เวลาเพื่อนเรางอน ก็มักจะเดินห่างจาก ตัวเราไปสองสามก้าว แล้วหันกลับมาพร้อมพูดว่า "โป้ง!! เราโป้งเธอแล้ว" แล้ววิ่งหนีไป..... ไอ้ตอนนั้นก็ดูน่ารักดี แต่ตอนนี้เนี่ย...อายุสองฝ่ายรวมกันเลยแซยิดไปแล้ว มันขนลุกจริงๆ นะ......พี่มนุษย์หักมุม
กลุ่มถัดมาเป็นขอทาน(อาจจะ)สมัครเล่นครับ ลักษณะของกลุ่มนี้การพูดการจานั้นมีให้ความรู้สึกว่าเกรงใจที่จะต้องขอเป็นอย่างมาก เดือดร้อนจริงๆ ถ้าให้แล้วจะไม่ขอใครอีก มักจะพบเห็นในที่ๆ ขอทานทั่วไปไม่อยู่กัน
โดยปกติแล้วผมค่อนข้างจะโอเคกับขอทานกลุ่มนี้มากที่สุด เพราะดูเป็นธรรมชาติมากทั้งการพูดการจาและสถานที่จะให้เงิน ให้ความรู้สึกว่าขอเพราะเดือดร้อนจริงๆ และไม่ได้ขอทุกวันจนเป็นอาชีพ ซึ่งเมื่อผมมองแล้วว่าดูไม่เหมือนขอทาน ผมก็มักจะให้เงินช่วยเหลือตลอด แต่ก่อนให้ผมก็ขอสอบถามหน่อย อย่างถ้าจะกลับบ้านก็จะถามว่ากลับยังไง นั่งรถสายอะไร ต้องขึ้นที่ใหน เพื่อเป็นการยืนยันอีกทีครับ เพราะถ้าจะกลับรถเมล์แต่ดันไม่รู้สาย หรือเกิดบอกสายรถเมล์มาแล้วมันไม่ได้ผ่านบ้านแก นี่มันยังไงๆ อยู่ แต่ก็มีอยู่คนนึงที่ให้แล้วอยากเอาเงินคืนจริงๆ คือวันนั้นผมเจอป้าแกตอนประมาณเกือบสี่ทุ่มแถวสะพานปิ่นเกล้า แกมาขอตังค์ผมยี่สิบเป็นค่ารถเมล์กลับบ้าน ผมก็ถามไปตามธรรมเนียมว่าป้าจะกลับสายอะไรเหรอครับ พอแกตอบมา เราก็เอ๊ะ นั่นมันรถ ปอ นี่ ผมก็หวังดีกลัวแกจะใช้เงินหมดเร็ว เลยแนะนำสายรถเมล์ธรรมดาไปให้ พร้อมยื่นตังค์ไปให้แก แกก็ยิ้มรับ แล้วบอกว่าขึ้นปอ ดีกว่า
..... โอ้วว รสนิยมหรูกว่าตูอีก ธรรมดาตูไปแถวนั้นนี่รถ ปอ ไม่ได้อยู่ในหัวเลย ใจตอนนั้นอยากจะขอแบงค์ยี่สิบคืนแล้วให้เหรียญสิบแทน แต่อ้อยเข้าปากช้างไปแล้ว จะไปแงะออกเดี๋ยวช้างตบหัวเอา เลยได้แต่ปลอบใจตัวเองว่า แกอาจจะลำบากมาทั้งวัน คงอยากสบายบ้าง หลังจากนั้นแกก็ชวนผมคุยนุ่นคุยนี่ไปเรื่อยเปื่อย เป็นเหมือนบริการคลายเหงาระหว่างรอรถเมล์ ผมคุยกับแกได้สักพักผมก็ต้องลาแกกลับบ้านเพราะรถเมล์ฟรีจากภาษีประชาชนผมมาแล้ว
จบแล้วครับเรื่องขอทาน อ่านพอขำๆ นะครับ แม้ว่าชีวิตจริงของขอทานจะไม่ขำเลยก็ตาม สำหรับเรื่องการช่วยเหลือคน ก็เป็นดุลยพินิจของแต่ละคนไป เอาตามสบายใจ แต่ขอเพียงอย่าปล่อยให้ใจเราแห้งเหือดจนมองคนที่ลำบากกว่าเป็นสิ่งมีชีวิตคนละประเภทกับเรา เพราะถ้าเป็นถึงขั้นนั้นแล้ว เราก็เป็นสิ่งมีชีวิตที่มีเพียงชีวิต.......เท่านั้นเอง
20090509 22:25
ดวง
Saturday, May 9, 2009
Subscribe to:
Posts (Atom)